วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ใบปัดน้ำฝน ที่คุณควรรู้

ตอนนี้ก็เข้าหน้าฝนกันแล้ว สิ่งที่จำเป็นสำหรับความปลอดภัยในการขับขี่ก็คือ ใบปัดน้ำฝน นั่นเอง เราจะพบว่ามีใบปัดน้ำฝนหลากหลายยี่ห้อให้เราเลือกซื้อกัน ไม่ว่าจะมาจากค่ายฝรั่งเช่น บ๊อช แวริโอ หรือค่ายญี่ปุ่นเช่น เด็นโซ่ และเอ็น ดับบลิว ดี แต่ยี่ห้อ หรือใบปัดน้ำฝนชนิดไหนล่ะ ที่จะเหมาะกับรถยนต์คันเก่งของเรา ความเข้าใจเกี่ยวกับใบปัดน้ำฝน มีความเข้าใจผิดกันมาตลอดว่า ใบปัดน้ำฝนที่ดีจะต้องปัดน้ำฝนให้หมดไปจากกระจก แท้ที่จริงแล้วการทำงานของใบปัดน้ำฝนนั้นจะปาดน้ำฝน โดยมีช่องว่าง ความห่างระหว่างกระจกและน้ำฝนประมาณ 0.01- 0.05 มม. เพื่อสร้างผิวฟิล์มบนกระจก หรือเรียกง่ายว่าการปาดน้ำให้เรียบนั่นเอง แต่ไม่ใช่เป็นการปาดน้ำทั้งหมดออกไปจากกระจก มิฉะนั้น หากออกแบบให้ใบปัดอยู่ติดกับกระจกมากเกินไปแล้ว จะทำให้เกิดปัญหาใบปัดสะดุด และสั่นกระพือเมื่อใช้งาน ชนิดของใบปัดน้ำฝน ชนิดของใบปัดน้ำฝนที่จำหน่ายในท้องตลาดปัจจุบัน 3 ชนิด ได้แก่ 1. ชนิดแบบมีโครงเหล็ก (Conventional Wiper Blade) ใบปัดน้ำฝนแบบนี้เป็นแบบดั้งเดิม ท่านจะสังเกตเห็นโครงเหล็กแขนยางปัดน้ำฝน และใบปัดน้ำฝน แบบนี้มีให้เห็นโดยทั่วไป ใบปัดน้ำฝนชนิดนี้จะใช้ได้ดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับปัจจัยดังต่อไปนี้ - คุณภาพของยาง ยางคุณภาพดีส่วนมากก็มาจากประเทศไทยและมาเลเซีย ผู้ผลิตจะใส่สารปรุงแต่งบางตัวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น สารต่อต้านแสงยูวี คาร์บอนแบลค - จำนวนจุดที่เป็นข้อต่อบนแขนของใบปัดน้ำฝน ยิ่งมีจุดข้อต่อมาก ยิ่งกระจายแรงกดไปบนยางรีดน้ำฝน ทำให้ใบปัดน้ำฝนปัดน้ำได้สะอาดเกลี้ยงเกลา ไม่ทิ้งคราบน้ำ - การออกแบบโครงเหล็ก ปัจจุบันมีผู้ผลิตหลายรายออกแบบโครงเหล็กให้มีความโค้งมนรับกับแรงลมตามหลักอากาศพลศาสตร์ ทำให้เกิดการกระพือของใบปัดน้ำฝนน้อยแม้จะวิ่งรถด้วยความเร็วสูง ชนิดของใบปัดน้ำฝน 2. ใบปัดน้ำฝนแบบซ่อนแขนใบปัดน้ำฝน (Semi Concealed Wiper Blade) ใบปัดน้ำฝนแบบที่ 2 นี้ มีโครงสร้างเหมือนกับแบบแรก แต่ผู้ผลิตออกแบบที่ครอบเพิ่มเพื่อนำมาครอบแขนใบปัดน้ำฝนไว้ แต่ยังคงเห็นเนื้อยางของใบปัดน้ำฝนอยู่ จุดประสงค์ก็คือเพื่อความสวยงาม จะเห็นได้ตามรถบางรุ่นเช่น รถยุโรป รถโตโยต้าแคมรี่ ฮอนด้าแจ๊ส 3. ใบปัดน้ำฝนแบบไร้โครงเหล็ก (Flat Blade) ท่านจะไม่สามารถสังเกตเห็นแขนของใบปัดและตัวยางปัดน้ำฝนเลย เพราะไม่มีโครงเหล็ก แต่จะมีแกนเหล็กทดแทนถูกฝังไว้ในเนื้อยาง ใบปัดแบบไร้โครงเหล็กนี้ มีคุณสมบัติในการปัดดี เนื่องจากน้ำหนักของใบปัดจะถูกกระจายไปทั่วเท่า ๆ กัน ทั้งแขนใบปัด ทั้งยังมีดีไซน์ที่ให้ความสปอร์ตอีกด้วย เมื่อไรที่ควรเปลี่ยนใบปัดน้ำฝน 1. เมื่อใบปัดน้ำฝนปัดไม่สะอาด ปัดไม่เรียบ เกิดคราบน้ำเป็นช่วง ๆ เกิดจากปัญหายางปัดน้ำฝนเสื่อมสภาพเป็นบางช่วงของหน้ายาง 2. ยางปัดน้ำฝนกระพือ เกิดจากปัญหายางปัดน้ำฝนเสื่อมสภาพ และแข็ง ทำให้ใบปัดกระโดด 3. ยางปัดน้ำฝนเสื่อมสภาพ และทำให้กระจกเป็นรอย ข้อควรระวังในการเลือกใบปัดน้ำฝน 1. การเลือกใช้ใบปัดน้ำฝนนั้น ท่านสามารถสังเกตรุ่นรถยนต์ของท่านได้จากข้างบรรจุภัณฑ์ของผู้ผลิตใบปัดน้ำฝน ผู้ผลิตหลายรายป้อนอะไหล่ใบปัดน้ำฝนให้กับทั้งโรงประกอบรถยนต์ และยังมีจำหน่ายในตลาดด้วย 2. เมื่อเลือกซื้อใบปัดน้ำฝน ไม่ควรเลือกซื้อใบปัดเก่าเก็บ เพราะยางบนใบปัดน้ำฝนนั้นมีอายุ บางครั้งผู้จำหน่ายไม่สามารถจำหน่ายสินค้าได้หมดภายในหน้าฝนปีก่อน ก็จะนำออกมาจำหน่ายในปีถัดไป เพราะส่วนใหญ่ผู้ใช้รถมักจะเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนในช่วงหน้าฝนเท่านั้น 3. หากบนใบปัดน้ำฝนมีการะบุภาษาอังกฤษตัวย่อบนใบปัดเช่น อักษร “D” ย่อมาจาก “Driver” ให้ผู้ใช้รถทุกท่านเข้าใจว่าใบปัดใบนั้นให้ติดตั้งฝั่งคนขับ ส่วนอักษร “P” ย่อมาจาก “Passenger” ก็คือฝั่งคนนั่งนั่นเอง 4. ให้สังเกตว่ารถรุ่นใหม่ ๆ ทุกวันนี้ก้านใบปัดน้ำฝนทางฝั่งคนขับ และคนนั่งจะมีขนาดที่ไม่เท่ากัน เช่น โตโยต้าวีออส เป็นต้น มีขนาดใบปัดโดยประมาณ 14” และ 21” ดังนั้นเวลาท่านซื้ออาจจะเลือกแบบแพ๊คสำเร็จสำหรับรุ่นนั้น ๆเลย หรือหากแยกซื้อเป็นกล่อง ๆ ก็ต้องระวังเรื่องนี้ไว้ด้วย โปรดติดตามเคล็ดลับดีๆแบบนี้ได้ในฉบับหน้า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น