วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เทคนิคการใช้เกียร์อัตโนมัติ CVT

ปัจจุบัน เราปฏิเสธไม่ได้ว่าระบบเกียร์อัตโนมัติ (Automatic transmission) เข้ามามีบทบาทในการใช้งานรถยนต์ยุคใหม่มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะระบบเกียร์อัตโนมัติแบบใหม่ที่เรียกว่า CVT นั้น แทบจะเห็นได้ในรถทุกรุ่นทุกยี่ห้อไม่ว่าจะเป็นรถจากค่ายญี่ปุ่น อาทิเช่น Corolla Altis หรือ Honda Jazz หรือจะเป็นจากค่ายยุโรป เช่น Audi A6 แต่ก็มีคนจำนวนมากไม่เข้าใจวิธีใช้งานอย่างถูกต้อง ทำให้ต้องกระเป๋าแบน…แฟนทิ้ง กันไปนักต่อนักแล้ว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ระบบเกียร์ CVT หรือเจ้าระบบส่งกำลังไฮเทคสุดยอดที่เราใช้ในทุกวันนี้นั้น เป็นแนวคิดที่เกิดมาจากสุดยอดศิลปิน วิศวกร และนักปรัชญา ที่เรารู้จักกันในนามว่า ลีโอนาโด ดาวินชี ที่ได้สเก็ตภาพออกแบบถึง ระบบส่งกำลังที่ทำงานอย่างต่อเนื่อง ไม่สะดุดในการทำงาน หรือเปลี่ยนการให้กำลัง ระบบ CVT กับระบบเกียร์อัตโนมัติทั่วไปธรรมดานั้น มีความแตกต่างกันมากมาย ระบบ CVT หรือ Continous Variable Transmission นั้นไม่ควรจะถูกเรียกว่าชุดเกียร์ด้วยซ้ำ เพราะการทำงานของมันนั้นแปรผันตามพละกำลังที่ส่งมาจากเครื่องยนต์โดยตรง ภายในระบบเกียร์ CVT ที่นิยมใช้ในรถยนต์ปัจจุบันนั้น จะประกอบด้วยชุดกรวย 2 ชิ้นที่เป็นหลักในการส่งกำลังจากเครื่องยนต์ไปยังล้อ โดยที่ตัวหนึ่งจะถูกต่อเข้ากับเครื่องยนต์ เรียกว่า “พูลเลย์ขับ” ส่วนอีกตัวเป็นพูลเลย์ที่จะให้อัตราทดเรียกว่า “พูลเลย์กำลัง” ซึ่งทั้งสองจะทำงานสอดคล้องกันผ่านสายพานที่คล้องผ่านทั้งคู่ เมื่อเราขับรถไปในถนนกำลังจากเครื่องยนต์จะถูกส่งผ่านพูลเลย์ขับ โดยในยามที่เราใช้อัตราทดต่ำ พูลเลย์กำลังจะมีระยะชันสูงทำให้มีอัตราทดที่สูง และการทำงานจะแปรผันเรื่อยๆ จนเมื่อถึงเกียร์สูงสุดการทำงานก็จะสลับกันระหว่าง พูลเลย์ขับที่ชันตัวสูงขึ้น และพูลเลย์กำลังที่ต่ำลง ระบบจะทำงานเช่นนี้ไปเรื่อยๆ และนั้นหมายความว่าระบบเกียร์ CVT ไม่ได้ขับผ่านชุดเฟือง อย่างที่หลายๆคนเข้าใจ ซึ่งการที่มันขับผ่านด้วยระบบสายพานนี้ ทำให้มันค่อนข้างเปราะ และมีการกล่าวว่าการใช้เกียร์ CVT ในสภาวะสุดขั้วโดยเฉพาะในเขตเมืองที่ขับๆจอดๆ จะทำให้เกียร์เสื่อมสภาพไวกว่าปกติ แม้ว่าเจ้าระบบส่งกำลังประเภทนี้จะค่อนข้างมีปัญหาได้ง่ายเมื่อใช้ไปนานๆ แต่ CVT ก็มีข้อดีที่ให้อัตราเร่งที่เสถียรมาก และให้อัตราประหยัดน้ำมันมากด้วยเช่นกัน และแม้จะกล่าวว่า CVT มีข้อเสียที่เกิดจากการออกแบบที่มองแล้วไม่น่าจะทนทานมากนัก แต่อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะเราสามารถป้องกันได้ง่ายๆ ดังนี้ 1. เปลี่ยนนิสัยการขับ เกียร์ CVT นั้น เป็นระบบส่งกำลังที่ออกแบบมาให้สามารถส่งกำลังได้นิ่มนวลกว่าระบบเกียร์อื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคุณรู้ว่าเกียร์นี้ขับด้วยสายพาน ก็แน่นอนว่า มันต้องขับแบบทะนุถนอมด้วยเช่นกัน การขับแบบกระชากสไตล์สปอร์ตนั้น คงไม่ใช่เรื่องดีเสียเท่าไรนัก เนื่องจากการกระชากเกียร์โดยเฉพาะระบบ CVT จะทำให้เกียร์มีปัญหาได้ในอนาคต เพราะตัวเครื่องยนต์นั้นใช้การส่งกำลังผ่านพูลเลย์ด้วยชุดสายพาน หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบออกตัวรถให้ล้อดังเอี๊ยด ด้วยการกระชากตัว จงหยุดเสีย เพราะนี่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ชุดเกียร์เสื่อมสภาพเร็ว และพังได้มากที่สุด 2.เข้าใจในระบบเกียร์ CVT เราได้อธิบายถึงการทำงาน CVT ไปพอสมควรแล้ว และคุณรู้ว่ามันมีการทำงานเช่นไร แต่ที่สำคัญที่สุดนั้นคือ การดูแลรักษา ซึ่งปกติ ช่างผู้เชี่ยวชาญจะแนะนำให้เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ที่ประมาณ 20,000-40,000 กิโลเมตร แต่ในสภาพการขับขี่จริง หากชีวิตคุณอยู่ในเมืองมากกว่า 80 % นั้น เราขอแนะนำให้เปลี่ยนน้ำมันทุกๆ 17,000 กิโลเมตร เพราะการที่เราขับๆหยุดๆ แต่ระบบเกียร์ยังทำงาน จะทำให้เกิดความร้อนสะสมมากกว่าที่เราขับไปเรื่อยๆตามชนบท และเมื่อมีความร้อนมากก็หมายถึงการเสื่อมสภาพที่เร็วขึ้นด้วยเช่นกัน ทั้งนี้จงจำไว้ว่าเราต้องใส่ใจในการใช้งานรถยนต์อย่างสม่ำเสมอไม่เฉพาะระบบเกียร์ CVT ที่เราได้พูดถึงกันในวันนี้ แต่หมายถึงทุกระบบในรถที่เราต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้ จึงจะใช้งานได้อย่างถูกต้อง ซึ่ง CVT นั้นเป็นระบบที่หลายๆคนไม่ทราบว่าเกียร์นั้นทำงานอย่างไร ทำให้เกิดความเข้าใจอย่างผิดๆ และท้ายที่สุดก็มีปัญหาเกิดขึ้นตามมามากมาย

เทคนิคการดูแลรักษาภายในรถยนต์

เทคนิคการดูแลรักษาภายในรถยนต์อย่าง... มืออาชีพ ถ้าพูดถึงรถยนต์ และการดูแลรักษารถยนต์แล้ว หลายๆ คนคงจะนึกถึงการล้างรถภายนอกให้ดูดี สวยงาม เหมือนรถคันใหม่ ทว่าหลายคนคงลืมไปว่านอกจากการล้างสีที่ทำให้รถดูเงางามประทับใจยามขับผ่านแล้ว เราควรจะต้องดูแลรักษาภายในรถยนต์ ให้สะอาด และน่าใช้งาน ซึ่งการดูแลรักษาภายในรถยนต์นั้นไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าทำอย่างถูกวิธี การดูแลรักษาภายในรถยนต์นั้น นับว่าเป็นเรื่องที่ยากมากกว่าการดูแลรักษารถทางภายนอก เนื่องจากการดูแลภายในให้ดูสะอาดเอี่ยม และมีลักษณะที่ดีนั้นจำเป็นต้องเริ่มดูแลตั้งแต่วันที่รถออกมาจากศูนย์บริการ ทั้งยังต้องทำอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำเพื่อขจัดสิ่งที่เรียกว่า “ความสกปรก” ซึงเป็นต้นเหตุของเชื้อโรคที่นำพาไปสู่โรคภัยไข้เจ็บ ฟังดูแล้วอาจจะเป็นเรื่องง่ายๆ ที่ไม่ว่าใครๆ ก็คงรู้ดีกันอยู่แล้ว ทว่าความจริงการที่เราจะรักษาสภาพห้องโดยสารที่มีการใช้งานมากกว่าทางภายนอก แต่มีความทนทานน้อยกว่า ถือเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่อย่างไรก็ตามเราก็มี 5 วิธีง่ายๆ ที่คุณสามารถทำได้ เพื่อรักษาสภาพภายในรถยนต์ให้ดูดีอยู่เสมอ 1. งดเครื่องหอม และการสูบบุหรีในรถ เพียงข้อแรกนี่ก็คงเป็นยากสำหรับใครหลายๆ คนแล้ว เพราะน้ำหอม หรือการสูบบุหรี่เป็นอะไรที่หลายคนติดมากๆ โดยเฉพาะสุภาพสตรี ที่ต้องการให้ห้องโดยสารมีกลิ่นที่พึ่งประสงค์ และดับกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ หรือท่านชายสิงห์อมควันทั้งหลายที่ขาดไม่ได้ยามเดินทาง หลายคนอาจจะถามว่าทำไมต้องงดเครื่องหอม และบุหรี่ แต่คุณทราบหรือไม่ว่า เจลและควันที่ละลายเป็นไอในห้องโดยสารนั้นจะลอยไปกับระบบปรับอากาศ และท้ายที่สุดมันก็จะไปติดอยู่กับชุดคอยย์เย็น หรือตู้แอร์ โดยจะจับเป็นคราบขาว เมื่อนานไปจะเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค และส่งกลิ่นเหม็นเปรี้ยว ซึ่งจะทำให้คุณมีปัญหาสุขภาพในที่สุด 2. หมั่นทำความสะอาดภายในรถยนต์ แน่นอนการจะรักษาความสะอาดที่ดีที่สุด คือต้องหมั่นขจัดคราบสกปรกต่างๆเป็นประจำ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ควรทำอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง พร้อมขัดเคลือบน้ำยารักษาภายใน กับชุดพลาสติก และเบาะหรือชิ้นส่วนที่เป็นหนังภายในรถยนต์ ซึ่งโดยปกติ น้ำยาพวกนี้จะมีกลิ่นบ้าง ดังนั้น เมื่อทาน้ำยาแล้วควรเปิดกระจกให้อากาศระบายด้วย 3. งดการทานอาหารบนรถ สิ่งสำคัญที่สุด คือพยายามอย่าทานอาหารในรถ เพราะอาหาร แม้จะไม่มีกลิ่น แต่การที่มีเศษอาหารร่วงในห้องโดยสาร โดยเฉพาะสมัยนี้ที่โดยมากรถมักจะมาพร้อมชุดพรมนั้น มักจะเป็นแหล่งสะสมความสกปรกอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเศษอาหารเล็กๆเหล่านี้ เป็นแหล่งเชื้อเชิญสัตว์ ไม่พึงประสงค์ด้วย ทางที่ดีเลี่ยงเสียดีกว่า 4. เก็บขยะในรถเป็นประจำ เราปฏิเสธๆไม่ได้ว่า รถเราจะไม่มีขยะเลย แต่สิ่งที่ทำได้คือต้องทำให้มันมีน้อยที่สุด หรือไม่มีเลย ซึ่งการเก็บขยะในรถเป็นประจำนั้น จะทำให้รถดูสะอาด และน่าใช้งาน นอกจากนั้น การเก็บสิ่งของต่างๆให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ถือเป็นสิ่งที่ควรทำ โดยเฉพาะท่านผู้หญิงทั้งหลาย ที่ชอบเปลี่ยนรถเป็นบ้าน 5. ใช้บริการซักเบาะ-พรมบ้าง สิ่งที่มักสกปรกที่สุดในรถของพวกเรานั้นคือ พรมและเบาะ โดยเฉพาะรถเบาะผ้านั้น เป็นตัวดูดฝุ่น และความสกปรกอย่างดีเลย ซึ่งจะทำให้รถคันเก่งของเรากลายเป็นที่หมักหมม และบ่อเกิดของเชื้อโรค แน่นอน ทางที่ดีที่สุดคือเราต้องนำรถเข้ารับการทำความสะอาดใหญ่กันบ้าง โดยใช้บริการซักเบาะ และชุดพรมปูพื้น ซึ่งควรจะพึ่งร้านล้างรถชั้นนำต่างๆ และควรทำเป็นประจำอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อที่รถจะได้สะอาดดูใหม่อยู่เสมอ นี่ก็เป็นเพียง 5 ข้อควรปฏิบัติง่ายๆ ที่คุณสามารถทำให้ภายในรถโดยสารสะอาด และน่าใช้งาน และที่สำคัญที่สุดคือ การหมั่นทำความสะอาดอยู่เป็นประจำ จนติดเป็นนิสัย เพื่อให้ความสะอาดนั้นคงอยู่ตลอดไปตราบนานเท่านาน

วันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ติดแก๊ส

หลังจากวิกฤตน้ำมันแพงเริ่มกลับมาอีกครั้ง ทำให้ความรู้สึกอดทนกับราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นอย่างไม่หยุดยั้งของใครต่อหลายคนอาจสิ้นสุดลง จากเดิมที่ยังไม่เปลี่ยนไปใช้พลังงานทดแทนอย่างเช่น ก๊าซ LPG หรือ NGV ซึ่งก็คือการเอารถไปติดแก๊ส อย่างที่หลายๆ คนเรียก อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เราจะติดตั้งระบบก๊าซนั้น ก็ต้องมีการเตรียมความพร้อมกันซะก่อน คุ้มหรือเปล่าที่จะติดตั้งระบบก๊าซ? จุดคุ้มทุนด้านค่าใช้จ่าย - ตัวรถเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะบ่งบอกถึงความคุ้มในการเปลี่ยนมาใช้ก๊าซ รถรุ่นใหม่ หรือรถยนต์ที่มีอายุไม่กี่ปี ส่วนใหญ่เครื่องยนต์จะมีสมรรถนะสูง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเบนซิน หรือดีเซล ตัวเครื่องยนต์มักจะได้รับการติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมการทำงานอย่างเช่น ระบบจ่ายเชื้อเพลิง หรือระบบจุดระเบิดที่ทำงานอย่างแม่นยำ มีประสิทธิภาพสูง ใช้เชื้อเพลิงน้อย ปล่อยของเหลือที่เป็นพิษปะปนออกมากับไอเสีย น้อยเป็นทุนเดิม อยู่แล้ว ดังนั้นรถรุ่นใหม่ ๆ เหล่านี้จะมีอัตราการใช้เชื้อเพลิง หรือว่าการกินน้ำมันต่อกิโลเมตรค่อนข้างต่ำ ถ้าเป็นรถขนาดซับคอมแพค หรือเครื่องยนต์ที่มีขนาดไม่เกิน 1,500 ซี.ซี. อาจจะทำระยะทางได้เกิน 15 กิโลเมตร จากการใช้น้ำมันแต่ละลิตร ถ้าลองเอาราคาน้ำมันต่อลิตรมาตั้ง แล้วหารด้วยจำนวนกิโลเมตรที่วิ่งได้…น้ำมันราคาลิตรละ 30 บาท หารด้วยระยะทาง 15 กิโลเมตร ค่าใช้จ่ายก็จะตกอยู่ที่ประมาณ กิโลเมตรละ 2 บาท ถ้ารถของท่าน "กินน้ำมัน" แค่นี้ แล้วไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไร ก็อยู่เฉย ๆ น่าจะดีกว่า เก็บเงินสองสาม หมื่นเอาไว้ เติมน้ำมันไปได้อีก 10,000-15,000 กิโลเมตร สภาพตัวรถก็ยังคงเดิม ๆ ดูดีกว่าใส่ถังก๊าซ ชุดจ่ายเชื้อเพลิงหม้อต้ม เข้าไปพะรุงพะรัง ในห้องเครื่อง แถมยังหนักรถเพิ่มขึ้นมาอีก จริงอยู่ที่รถขนาดนี้ถ้าเปลี่ยนมาใช้ก๊าซแล้วจะมีค่าใช้จ่ายต่อกิโลเมตรถูกลงมา อาจจะเหลือเพียงประมาณ 1 บาทต่อกิโล นั่นหมายความว่าคุณก็จะต้องจ่ายค่าก๊าซในระยะทาง 15,000 กิโลเมตร อีก 15,000 บาท บวกค่าติดตั้งอุปกรณ์ก๊าซอีกประมาณ 30,000 บาท รวมเป็น 45,000 บาท เอาเงิน 45,000 ไปเติมน้ำมันวิ่งไปได้กี่ปี่ หรือกี่เดือน ก็ลองหารออกมาดู เฉลี่ยแล้วคุณต้องจ่ายค่าน้ำมันเดือนละ หรือปีละกี่บาท ในทางกลับกัน ถ้าคุณคิดว่าใน 1 ปี คุณใช้รถไม่เกิน 5,000 กิโลเมตร อย่างนี้ไม่ต้องคิดมากเลย เมินเสียเถอะกับชุดติดตั้งก๊าซราคา 30,000 บาท ใช้น้ำมันอย่างเดียวสบายใจกว่าเยอะ แต่ถ้าปีหนึ่งใช้รถเกิน 10,000 กิโลเมตร ก็เป็นเรื่องน่าคิด สมมุติว่าในหนึ่งปีใช้รถ 15,000 กิโลเมตร เสียค่าน้ำมันรถ 20,000-30,000 บาท เทียบบัญญัติไตรยางศ์ไปเรื่อย ๆ 2 ปี ก็ 60,000 บาท 3 ปี ก็ 90,000 บาท การลงทุนติดตั้งชุดก๊าซไปปีแรก 30,000 บาท จ่ายค่าก๊าซปีละ 15,000 2 ปีเป็น 30,000 3 ปีเป็น 45,000 บาท 4 ปีเป็นค่าก๊าซ 60,000 บาท รวมกับค่าลงทุนติดตั้งก๊าซในครั้งแรกอีก 30,000 จะเท่ากับ 90,000 บาท ซึ่งเท่ากับเติมน้ำมันอย่างเดียวในปีที่ 3 นี่แสดงว่าจุดคุ้มทุนในการติดตั้งระบบก๊าซจะต้องใช้เวลาในการใช้รถปีละ 15,000 กิโลเมตร ถึง 3 ปี โดยใช้สมมติฐานว่าราคาก๊าซ และน้ำมันเชื้อเพลิงเบนซินอยู่ที่ลิตรละ 10 และ 30 บาท ตลอดระยะเวลา 3 ปี แต่ถ้าคุณใช้รถเกินกว่าปีละ 30,000 กิโลเมตร จุดคุ้มทุนในการติดตั้งก๊าซอาจจะลดลงมาต่ำกว่า 2 ปี หรือลองเปรียบเทียบจากตารางข้างล่างนี้ได้ ซึ่งจะเปรียบเทียบให้เห็นชัดว่าค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยต่อระยะทาง 1 กิโลเมตร เมื่อนำมาเทียบกันระหว่างการติดตั้งก๊าซกับเติมน้ำมันเบนซินอย่างเดียว อย่างไหนจะคุ้มกว่ากันแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะติดตั้งระบบก๊าซหรือไม่ นี่เป็นเพียงยกตัวอย่างเปรียบเทียบระหว่างการใช้น้ำมันกับการติดตั้งระบบก๊าซแอลพีจี (LPG) ถ้าเป็นการติดตั้งระบบ ก๊าซซีเอ็นจี (CNG) ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งจะเปลี่ยนเป็น 50,000-60,000 บาท แต่จะเสียค่าเชื้อเพลิงน้อยลง ประมาณกิโลเมตรละ 50 สตางค์

ระบบเครื่องยนต์ กับการประหยัดน้ำมัน

ในสภาวะที่น้ำมันเชื้อเพลิงมีราคาแพงนี้ การจะเลือกซื้อรถยนต์ซักคันนั้น จำเป็นต้องคำนึงถึงการประหยัดน้ำมันที่ตามมาด้วย เพราะน้ำมันเป็นสิ่งที่จะต้องใช้ควบคู่รถยนต์ไปตลอดอายุการใช้งานของมัน ดังนั้น ก่อนที่เราจะตัดสินใจซื้อรถยนต์สักคันนั้น การศึกษาความแตกต่าง และการทำงานของระบบรถยนต์ต่างๆ นั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งจะช่วยให้เลือกรถยนต์ที่เหมาะสม ประหยัดพลังงาน และประหยัดเงินในกระเป๋าอีกด้วย เครื่องยนต์ที่ใช้ในรถยนต์ทั้งหมดนั้น ต่างก็ใช้เชื้อเพลิงสันดาปภายในทั้งสิ้น คือการเอาเชื้อเพลิงผสมอากาศให้เหมาะสม แล้วทำให้ติดไฟขึ้น อากาศก็จะขยายตัว และขับเคลื่อนลูกสูบไปยังข้อเหวี่ยง ผ่านระบบเกียร์ทด แล้วส่งไปที่ล้อ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นระบบขับ 2 ล้อ หรือ 4 ล้อ ก็จะหมุนไปในทำนองเดียวกัน เพื่อให้รถนั้นเคลื่อนตัวไป เครื่องยนต์สันดาปภายในที่ว่า จำแนกออกได้ 2 ชนิด คือ เครื่องยนต์ลูกสูบ และเครื่องยนต์โรตารี่ ส่วนเครื่องกังหันก๊าซ เช่นที่ใช้ในเครื่องบินขนาดใหญ่ทั้งหมด ไม่สามารถนำมาใช้กับรถยนต์ได้ หลายสิบปีที่ผ่านไป ได้เคยมีความพยายามทดลองทำกันอย่างจริงจัง ซึ่งบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ได้เพียรพยายามอยู่หลายต่อหลายหน แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะอาการของเครื่องยนต์ที่ตอบสนองไม่สามารถเข้ากันกับการขับขี่ของรถ เพราะการซ่อนการทำงานของเครื่องยนต์นั้นแคบ เครื่องจะเริ่มเดินเบาได้ ก็ต้องหมุนถึง 80-90% No load ที่ความเร็วรอบ 90% และฟูลโหลดที่ 100% ซึ่งจำเป็นต้องใช้เกียร์ทดสปีดหลายอัตราทด เป็นหลาย ๆ สิบเกียร์จึงจะเพียงพอกับความต้องการ อีกทั้งยังขาดกำลังฉุด คือเมื่อยกคันเร่งแล้ว ก็ไม่มีอาการที่เรียกว่า เครื่องฉุด ซึ่งเครื่องจะไหลไปเหมือนเราปลดเกียร์ว่างอยู่ตลอดเวลา ส่วนเครื่องยนต์ของรถยนต์ก็จะมีเพียงระบบลูกสูบกับระบบโรตารี่ ที่เจ้าของต้นตำรับคือ ชาวเยอรมัน ชื่อ แวงเคิล ซึ่งรถยี่ห้อ NSU ได้นำไปผลิตเป็นรายแรก แต่ก็ทำอยู่ไม่นาน แล้วก็ขายต่อให้รถญี่ปุ่นไป เพราะเครื่องยนต์ชนิดนี้มีปัญหามาก ซึ่ง MAZDA ก็ซื้อลิขสิทธิ์ไปต่อจาก NSU ส่วน NSU ของเยอรมันก็สลายตัวเลิกกิจการ ซึ่งตอนนั้น รถที่นำไปใช้คือรุ่น RX2 ที่ฮือฮามากในอเมริกา ซึ่งมีถังน้ำมันโตเท่ากับรถอเมริกาขนาดใหญ่ คือ 17 แกลลอน ส่วนรถทั่วไปนั้น จะมีถังน้ำมันอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 12 แกลลอนเท่านั้น และความจริงก็ปรากฏว่ามันกินน้ำมันมาก ซึ่งก็ทำให้คนเลิกใช้ระบบนี้ไป ส่วนเครื่องยนต์ชนิดลูกสูบ ที่มีมาแต่โบราณ เมื่อ 100 กว่าปีมาแล้ว ก็ยังอยู่ยงคงกระพันต่อไปโดยไม่มีท่าว่าจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น แต่ก็ได้มีการปรับปรุงไปบ้าง เป็นระบบเบนซินกับดีเซล ซึ่งทั้งสองระบบก็มีแนวทางพัฒนาไปในทิศทางเดียวกัน คือเพิ่มวาล์วให้เยอะขึ้น จากลูกสูบละ 2 วาล์ว ก็เป็น 4-5 วาล์ว เพื่อเพิ่มกำลังแรงม้า เพิ่มรอบความเร็วของเครื่องให้สูงขึ้น แม้กระนั้นการเปลี่ยนพลังความร้อนก็ยังอยู่ในสภาพไม่ดีนัก คือ 35-40% เท่านั้น ยิ่งรถในบ้านเราที่วิ่ง ๆ หยุด ๆ อย่างนี้ ประสิทธิภาพเครื่องยนต์อาจเหลือเพียง 20% เท่านั้น เท่ากับว่าเราต้องจ่ายค่าน้ำมันไปหนึ่งร้อย แต่ใช้งานจริงได้เพียงแค่ 20 เท่านั้น ส่วนอื่นๆ คือการเผาลมให้ร้อนเล่นเฉย ๆ เครื่องยนต์ดีเซลในปัจจุบันก็ถือได้ว่าพัฒนาไปมาก จากเดิมเป็นระบบเผาไหม้หมุนเวียนในห้องเผาไหม้ล่วงหน้า ก่อนที่จะส่งไปเผาต่อบนหัวลูกสูบ เพื่อลดแรงกระแทกจากการจุดระเบิดที่รุนแรง โดยทั่วไป เชื้อเพลิงดีเซลมีจุดติดไฟที่อุณหภูมิต่ำ คือประมาณ 300 ํC ก็ติดไฟแล้ว และยังไวไฟอีกต่างหาก คือติดแล้วก็ระเบิดไปเลย ไม่เหมือนเบนซินที่เผาไหม้ช้า ติดไฟยากกว่า ต้องใช้ความร้อนขนาดประกายไฟจากหัวเทียนจึงติดไฟ เครื่องยนต์ดีเซลในปัจจุบันก็ถือได้ว่าพัฒนาไปมาก จากเดิมเป็นระบบเผาไหม้หมุนเวียนในห้องเผาไหม้ล่วงหน้า ก่อนที่จะส่งไปเผาต่อบนหัวลูกสูบ เพื่อลดแรงกระแทกจากการจุดระเบิดที่รุนแรง โดยทั่วไป เชื้อเพลิงดีเซลมีจุดติดไฟที่อุณหภูมิต่ำ คือประมาณ 300 ํC ก็ติดไฟแล้ว และยังไวไฟอีกต่างหาก คือติดแล้วก็ระเบิดไปเลย ไม่เหมือนเบนซินที่เผาไหม้ช้า ติดไฟยากกว่า ต้องใช้ความร้อนขนาดประกายไฟจากหัวเทียนจึงติดไฟ เครื่องยนต์ดีเซลชนิดเผาไหม้ในห้องเผาไหม้ล่วงหน้าจะมีอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงสูง เพราะความร้อนจำนวนมากถูกดูดซับไปกับห้องเผาไหม้ล่วงหน้าเสียส่วนหนึ่ง แต่สำหรับเครื่องยนต์ที่เรียกว่า ไดเร็กอินเจ็กชั่น (Direct Injection) ที่ฉีดเชื้อเพลิงเข้าหัวลูกสูบโดยตรง จะสูญเสียความร้อนน้อยกว่าเครื่องยนต์แบบมีห้องเผาไหม้ช่วย จึงสามารถแปรสภาพจากพลังงานเชื้อเพลิงเป็นพลังงานกลได้มากกว่า ในตอนต้น ๆ ของระบบนี้จะใช้กับเครื่องยนต์ดีเซลขนาดใหญ่ก่อน เพราะสามารถเดินเครื่องได้ที่กำลังอัดต่ำ คืออยู่ที่ประมาณ 17 : 1 เทียบกับเครื่องยนต์ที่มีห้องเผาไหม้ล่วงหน้าจะต้องใช้กำลังอัดสูง คืออยู่ที่ประมาณ 22 : 1 จึงจะมีความร้อนเพียงพอที่จะจุดเชื้อเพลิง สำหรับเครื่องยนต์ขนาดเล็กนั้น อัตราส่วนระหว่างผิวของกระบอกสูบตลอดจนพื้นที่บนฝาจะมีอัตราต่อปริมาตรสูง (Surface Area to Volume) ทำให้มีพื้นที่ดูดซับความร้อนมาก แม้ว่าจะใช้ระบบไดเร็กอินเจ็กชั่นแล้ว ก็ยังต้องคงกำลังอัดไว้ที่ 22 : 1 เหมือนกัน และจากการเผาไหม้ที่ค่อนข้างรุนแรง จะทำให้เกิดเสียงเครื่องยนต์น็อกมีเสียงค่อนข้างดัง ปานจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ แต่จากการที่ได้ออกแบบเครื่องยนต์ให้มีความแข็งแรงยิ่งขึ้น ทำให้เครื่องยนต์มีอายุการใช้งานเป็นปกติได้ นอกจากนี้ ยังมีเครื่องยนต์ดีเซลยุคใหม่ที่เรียกว่า "ระบบดีเซลคอมมอนเรล" (Diesel Common Rail System) เป็นระบบหัวฉีดเชื้อเพลิงแรงดันสูง คือสูงกว่าเก่า 10-15 เท่าตัว จากประมาณ 15,000 Psi ไปเป็น 24,000 Psi ควบคุมการฉีดเชื้อเพลิงด้วยสมองกล โดยรับคำสั่งจากเท้าผู้ขับขี่ อย่างไรก็ดี ส่วนการจัดสรรเชื้อเพลิงที่ป้อนไปยังเครื่องยนต์นั้น สมองกลจะเป็นผู้จัดการให้เอง สำหรับระบบคอมมอนเรลที่ว่า จะสามารถควบคุมการทำงานได้ดี และแม่นยำมากในทุกขั้นตอน แต่ก็ยังมีจุดอ่อนตรงที่ว่า จะต้องปั๊มเชื้อเพลิงอัดน้ำมันไว้ตลอดเวลา ที่แรงดันสูงมาก เทียบเท่ากับรถสิบล้อทั้งคันเหยียบอยู่บนเหรียญบาทหนึ่งเหรียญ ซึ่งต้องรักษาระดับแรงดันไว้ตลอดเวลาอีกด้วย นอกจากนั้น ยังมีส่วนเผื่อเรียก คือ ส่วนเกินของการปั๊มพลังงาน ซึ่งต้องระบายทิ้ง เป็นสาเหตุให้เกิดการไม่ประหยัด เพราะอุปกรณ์จะมีอายุสั้นลง วิ่งไปแสนกว่ากิโลเมตร ก็เริ่มเจอปัญหา แล้วมักจะเกิดขึ้นหลังระยะเวลาการรับประกันเสียด้วย ซึ่งทำให้ต้องควักกระเป๋าชำระค่าซ่อมเองที่ศูนย์บริการ ซึ่งแม้จะมีการประหยัดน้ำมันมาแทบตาย แต่ก็มาเข้าเนื้อตอนนี้แหละ ดังนั้น การจะเลือกใช้เทคโนโลยีใหม่อะไรสักอย่าง อาจต้องให้เวลาดูสักระยะ ก่อนที่จะโดดลงไปตัดสินใจซื้อ ซึ่งเทคโนโลยีที่จะช่วยประหยัดเชื้อเพลิงที่สามารถเห็นได้ชัด จริง ๆ แล้วหาได้ยาก แม้ตัวเทคโนโลยี อาจจะประหยัดน้ำมันได้จริง แต่บางทีก็อาจสร้างต้นทุนที่มองไม่เห็น ซึ่งเมื่อคิดๆ ไปแล้ว ก็ไม่ได้ช่วยประหยัดสักเท่าไหร่ มิหนำซ้ำ เคราะห์ร้าย อาจเกิดค่าใช้จ่ายที่มากกว่าด้วยซ้ำ

วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ล้อแม็ก... ประโยชน์ที่มากกว่าแค่ความสวยงาม

นับวันเราคงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า ล้อแม็กที่มีลายสวยงาม ได้กลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐานใหม่ของรถยนต์นั่งยุคใหม่ (รุ่นท๊อป) ไปแล้ว ล้อแม็กนั้นไม่ใช่ของแต่งแห่งโลกยุคใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่เจ้าล้อลายสวยงามตระการตา เหล่านี้มีให้เลือกใส่กันมานานแล้ว โดยเฉพาะในต่างประเทศที่ล้ออัลลอยเหล่านี้ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะจากกลุ่มคนที่รักการแต่งรถเป็นชีวิตจิตใจ ซึ่งล้อแม็กนั้น จัดได้ว่าเป็นอุปกรณ์ประดับรถยนต์ลำดับแรกๆ ที่จะถูกจับจองไปแต่งรถยนต์คันโปรด คำถามหนึ่งที่มักจะเป็นข้อสงสัยเกี่ยวกับล้อแม็ก และเป็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวางนั้น คงหนีไม่พ้นประโยคที่หลายคนต่างตั้งข้อสงสัยว่า เจ้าล้อแม็กที่มีวางจำหน่ายอยู่มากมายในท้องตลาดนี้ มีประโยชน์ในการใช้งาน มากกว่าเพียงแค่ความสวยงามของมันหรือไม่ ทั้งที่ต้องควักกระเป๋าตังค์จ่าย เริ่มต้นถึงวงละ 4000 บาท แน่นอนว่า เจ้าล้ออัลลอยเหล่านี้มีประโยชน์มากกว่าที่เห็น ไม่ว่าจะเป็นล้ออัลลอยที่ได้รับการติดตั้งออกมาจากโรงงานผู้ผลิตรถยนต์ หรือจะเป็นล้อแม็กที่มีให้เราเลือกซื้อมากมายทั้งจากต่างประเทศ และในบ้านเรา ซึ่งต่างก็มีอะไรที่มากกว่าเพียงแค่ความสวยงาม อย่างแรกเลย ล้อแม็กโดยมากมักจะมีขนาดกระทะที่ใหญ่กว่าล้อทั่วไป ซึ่งขนาดที่ใหญ่ขึ้นนั้นไม่ได้เกิดเฉพาะจากขนาดของวงล้อ แต่ยังหมายถึงหน้าที่กว้างขึ้น สำหรับใส่ยางรัดเข้ากับวงล้อที่เพิ่มมากขึ้นด้วย หน้ายางที่เพิ่มมากขึ้นหมายถึงหน้าสัมผัสของคุณกับพื้นผิวถนนที่มากยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อสมรรถนะในการทรงตัวของรถที่มีความหนึบแน่นยามขับขี่ความเร็วสูง และยังเพิ่มความมั่นใจยิ่งขึ้นในยามเข้าโค้ง ทำให้การขับขี่รถยนต์ของคุณ มีความปลอดภัยเพิ่มขึ้นไปอีก ไม่เพียงเท่านี้ การเปลี่ยนล้อแม็กที่มีส่วนในการเพิ่มหน้าสัมผัสยาง ยังมีผลต่อความปลอดภัยมากกว่าคุณคิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเบรก หน้าสัมผัสของยางที่มีมาก จะช่วยให้รถมีความเสียดทานระหว่างยางกับพื้นถนนมากยิ่งขึ้น หรือถ้าจะพูดให้เข้าใจง่าย ก็คือรถจะมีระยะทางเบรกสั้นยิ่งขึ้น โดยเฉลี่ยจะสั้นกว่าการใช้ล้อเดิมๆ อีกถึง 5-10 % ซึ่งแม้อาจจะดูไม่ใช่ตัวเลขที่มากนัก แต่เมื่อถึงสถานการณ์ฉุกเฉินที่เกิดขึ้นจริง เราอาจจะปฏิเสธไม่ได้ว่า ล้อแม็กนี้อาจช่วยให้รอดจากอุบัติเหตุร้ายแรงก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามแม้จะมีข้อดีมากมาย โดยเฉพาะการทรงตัวที่มีสมรรถนะสูงขึ้น แต่ในทางกลับกัน อุปกรณ์ตกแต่งยอดฮิตอย่างล้อแม็ก หรือล้ออัลลอยนั้น ก็มีผลต่ออัตราน้ำมันที่ต้องใช้มากขึ้น จากการเพิ่มขึ้นของหน้าสัมผัสยาง โดยปกติแล้วหน้าสัมผัสยางที่น้อย ก็หมายถึงแรงเสียดทานที่น้อยกว่า การใช้อัตราเร่งให้รถยนต์ขับเคลื่อนไปข้างหน้าก็ไม่มาก ทว่าเมื่อเปลี่ยนมาใช้ล้อแม็กแล้ว ต้องมีการเปลี่ยนยางตามไปด้วย เพื่อให้สัมพันธ์กับขนาดของล้อ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าหน้ายางที่มากขึ้น ก็จะทำให้รถมีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มมากขึ้นด้วย ซึ่งโดยเฉลี่ย ถ้าวัดออกมาเป็นกิโลเมตรต่อลิตร จะมีการสินเปลืองเพิ่มขึ้น 1-2 กิโลเมตร ต่อลิตร ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับขนาดหน้ากว้างของยางด้วยว่า มีขนาดหน้ากว้าง มากน้อยเพียงใด อย่างไรก็ตามเราปฏิเสธไม่ได้ว่า สมรรถนะที่เพิ่มสูงขึ้นก็ต้องแลกกับจำนวนเงินที่ต้องลงทุนในการใช้จ่ายเพื่อซื้อความสวยงาม และสมรถนะ ซึ่งถือเป็นเงินจำนวนมากพอสมควร ซึ่งจากการสอบถามราคาล้อ และยางจากร้านยางชั้นนำ เราจะพบว่า ล้อแม็ก 1 ชุดจำนวน 4 วงพร้อมยางใหม่ที่ทางร้านจัดให้ จะตกอยู่ที่ประมาณ 20,000 บาท สำหรับล้อขนาดขอบ 17 นิ้ว ซึ่งแม้ราคานี้จะรวมค่าติดตั้งแล้ว ก็ยังถือว่าเป็นจำนวนเงินที่สูงอยู่พอสมควรสำหรับรถยนต์ใช้งาน และนี่ก็เป็นเพียงเกร็ดเล็กๆเกี่ยวกับล้อแม็กที่ไม่ได้มีดีเพียงแค่ความสวยงาม หากแต่ยังช่วยเพิ่มสมรรถนะการขับขี่ สำหรับผู้ที่ชอบ และหลงรักในความเร็วอีกด้วย และไม่ว่าคุณจะมีความคิดเห็นยังไงเกี่ยวกับล้อแม็ก ขอจงพึงคิดเสมอว่าการขับรถอย่างไม่ประมาท ก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อความปลอดภัยทั้งสำหรับตัวคุณเอง และคนที่คุณรัก...

วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ปัญหารถรั่ว น้ำเข้ารถ!!! ในหน้าฝน

ในช่วงฤดูฝนนี้ ปัญหารถยนต์เกี่ยวกับ “รถรั่ว” ถือเป็นปัญหาที่ใหญ่หลวงมาก บางท่านเจอปัญหาหนักเข้าไปอีก เพราะที่จอดรถไม่มีหลังคากันฝน ต้องจอดตากฝนทั้งวัน พอหลาย ๆ วันเข้า น้ำฝนก็ไหลเข้ามาในรถ จากรถยนต์ก็เลยกลับกลายไปเป็นอ่างเลี้ยงปลาซะงั้น! เรื่องน้ำฝนเล็ดลอดเข้ามาในรถได้นั้น ส่วนใหญ่มักจะเกิดกับรถที่ใช้งานมานาน ระดับ 5-7 ปีขึ้นไป ปัญหาใหญ่ ๆเกิดจากพวกซีลยางตามขอบประตูเริ่มเสื่อมคุณภาพ ซีลยางพวกนี้จะประกบติดอยู่กับตัวรถ อย่างเช่น ประตู และฝากระโปรงท้าย ซึ่งหน้าที่หลักของซีลยางพวกนี้ก็คือ ป้องกันเสียงจากภายนอกเข้ามาในตัวรถ และช่วยป้องกันไม่ให้น้ำไหลเข้ามาภายในตัวรถ ซีลยางขอบประตูเสื่อมหรือยัง? สังเกตได้ไม่ยาก เริ่มจากเวลาล้างรถมักจะมีน้ำซึมเข้ามาภายในห้องโดยสาร หรือเวลาที่รถวิ่งด้วยความเร็วจะมีเสียงลมเล็ดลอดเข้ามาในห้องโดยสาร ดังกว่าที่เคยเป็น และมากขึ้นเรื่อย ๆ หรืออาจจะมีกลิ่นต่าง ๆ จากภายนอกรถเข้ามาสร้างความรำคาญภายในห้องโดยสาร สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้แหละบอกเหตุให้ทราบว่าซีลยางขอบประตูเริ่มเสื่อมสภาพแล้ว ซีลยางขอบประตูของแท้เบิกห้างฯ นั้น สนนราคาจัดว่าไม่ถูกเลยทีเดียว แต่ถ้าหาซื้อจากร้านขายอะไหล่รถยนต์ทั่วไปราคาจะถูกกว่า และจะถูกกว่าของแท้เกินครึ่งเมื่อหันไปหาของเทียม แต่ก็อย่างว่าแหละ ของเทียมราคาถูก แต่ก็ใช้ไม่ทนทานเท่าใดนัก อยู่ได้ประมาณ 3–4 ปี ก็กลับบ้านเก่าแล้ว ถ้าเป็นของแท้ ก็จะอยู่ได้นานหน่อย ไม่ต่ำกว่า 5 ปี หรือถ้าเป็นของจากนอกที่ผ่านกระบวนการผลิตที่ดีกว่าบ้านเรามากขึ้นไปอีกนิด ก็อาจจะใช้ได้นานราว 8–12 ปีเลยทีเดียวครับ ดังนั้น เราควรตรวจตราซีลยางขอบประตูพวกนี้ ประมาณ 4 เดือน/ครั้ง สังเกตดูว่าเนื้อยางยังคงรูปอยู่มั้ย มีการบิดเบี้ยวไปจากเดิมหรือไม่ ประกบแนบสนิทกับตัวรถหรือเปล่า ลองเอามือบีบที่เนื้อยางดูว่ามีความนุ่มหรือแข็งขนาดไหน ซีลยางขอบประตูที่น่าจะยังใช้งานได้ดีไม่ควรแข็งจนเกินไป หรือนิ่มยวบยาบจนเกือบยุ่ย หรือมีรอยปริแตก ถ้าพบว่ายางขอบประตูเริ่มแข็งตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ หรือยุ่ยจนแทบจะใช้ไม่ได้แล้วก็ควรเปลี่ยนซีลยาง เพราะยางขอบประตูพวกนี้แหละที่มักทำให้น้ำฝนเล็ดลอดเข้ามาในห้องโดยสารได้ จุดที่ควรระวังน้ำรั่วซึมเข้ามาในรถยนต์ • ยางขอบกระจกบังลมหน้า และหลัง ยางขอบกระจกบังลมหน้า และหลัง เป็นอีกจุดที่ทำให้น้ำฝนเล็ดลอดเข้ามาในห้องโดยสารได้ วิธีการตรวจสอบก็ไม่ยาก เพียงแค่นำรถไปล้างดู หากพบว่าตรงจุดใดมีน้ำซึมหรือไหลเข้ามาได้ ก็จัดการแก้ไขซะให้เรียบร้อย โดยวิธีการแก้ปัญหานั้น ให้ใช้ “ซิลิโคน”ยาตามแนวขอบกระจก แค่นี้ก็จะช่วยบรรเทาปัญหารั่วซึมตรงบริเวณขอบกระจกบังลมได้มาก แต่อย่าลืมว่า! หลังจากใช้ “ซิลิโคน” ยาตามแนวขอบกระจกแล้ว ควรทิ้งไว้ประมาณ 24 ชั่วโมง จากนั้นจึงนำรถยนต์ไปล้างดูใหม่ และเช็ครอยรั่วดูอีกครั้ง • แผงจิ้งหรีด แผงจิ้งหรีด หรือแผงซี่ ๆ ตรงบริเวณที่ยึดก้านปัดน้ำฝน จุดนี้น้ำฝนก็อาจจะเล็ดลอดเข้ามาได้เหมือนกัน เพราะเป็นช่องที่ใช้ระบายอากาศ จะมีท่อนำอากาศผ่านเข้ามาในห้องโดยสารได้ เพื่อไม่ให้กระจกบังลมหน้าเป็นฝ้า หรือระบายอากาศในห้องโดยสาร เพื่อลดความชื้น และกลิ่นอับในห้องโดยสาร แต่ในทางกลับกันก็อาจจะนำพาน้ำฝนเข้ามาในห้องโดยสารได้ หากเราขับรถฝ่าสายฝนที่ตกกระหน่ำเป็นระยะเวลานาน ๆ และยังอาจเป็นช่องทางนำพากลิ่นอันไม่พึงประสงค์จากภายนอกรถเข้ามาก็ได้ ในต่างประเทศ เขาจะมีอุปกรณ์ OPTION พิเศษ ที่เรียกว่า SNOW CAP ไว้สำหรับปิดช่องตรงแผงจิ้งหรีดนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำฝนหรือหิมะที่ตกหนักเล็ดลอดเข้ามาในห้องโดยสาร..... :)

วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ทำไมต้องพ่นกันสนิมให้รถยนต์

หน้าฝนมาถึงเมื่อไร สิ่งที่ตามมาด้วยก็คือความชื้นและเจ้าความชื้นนี่เองที่เป็นสาเหตุหลักของการเกิดสนิมซึ่งเป็นสิ่งที่เจ้าของรถก็คงเกิดความกังวล และไม่อยากให้เกิดขึ้นกับรถของตนเองเป็นแน่ สนิมคืออะไร สนิมเกิดจากการทำปฏิกิริยากันระหว่าง อ๊อกซิเจนและธาตุเหล็ก หรือที่เราเรียกว่าปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่น ซึ่งน้ำและออกซิเจนนี่เองที่เป็นปัจจัยหลักในการทำให้เกิดสนิม สนิมจะเป็นคราบสีน้ำตาลออกแดง ทำให้เหล็กผุกร่อนจนถึงเนื้อในได้ วิธีการป้องกันเหล็กไม่ให้เกิดสนิมมีอยู่หลายวิธี อาทิเช่น การเคลือบผิวเหล็ก ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้เนื้อเหล็กสัมผัสกับน้ำและอากาศโดยตรง หรือที่เรียกว่า การพ่นกันสนิมนั่นเอง ประโยชน์ของการพ่นกันสนิม • ป้องกันความชื้นไม่ให้สัมผัสแผ่นเหล็ก • ป้องกันความร้อน • ป้องกันเสียงดังรบกวนที่จะเข้ามาในห้องโดยสาร • ป้องกันการกระแทกและขูดขีดจากสะเก็ดหิน การพ่นป้องกันสนิม อาจแบ่งได้ 2 ประเภท คือ ระบบป้องกันสนิมใต้ตัวถังรถ ระบบป้องกันสนิมภายใน เช่น ร่องประตู หรือตามซอกต่าง ๆ ก่อนที่เราจะพ่นกันสนิมนั้น เราต้องล้างใต้ท้องรถ และพื้นผิวให้สะอาด โดยใช้สายฉีดน้ำแรงดันสูงทำความสะอาดจากนั้นปล่อยให้พื้นผิวแห้งสนิท เพราะถ้ามีความชื้นแทรกซึมเข้าไปแล้วจะทำให้เกิดปัญหาสนิมฝังในและปัญหาอื่น ๆ จะตามมาที่บริเวณอื่น ๆ อีกด้วย

วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ใบปัดน้ำฝน ที่คุณควรรู้

ตอนนี้ก็เข้าหน้าฝนกันแล้ว สิ่งที่จำเป็นสำหรับความปลอดภัยในการขับขี่ก็คือ ใบปัดน้ำฝน นั่นเอง เราจะพบว่ามีใบปัดน้ำฝนหลากหลายยี่ห้อให้เราเลือกซื้อกัน ไม่ว่าจะมาจากค่ายฝรั่งเช่น บ๊อช แวริโอ หรือค่ายญี่ปุ่นเช่น เด็นโซ่ และเอ็น ดับบลิว ดี แต่ยี่ห้อ หรือใบปัดน้ำฝนชนิดไหนล่ะ ที่จะเหมาะกับรถยนต์คันเก่งของเรา ความเข้าใจเกี่ยวกับใบปัดน้ำฝน มีความเข้าใจผิดกันมาตลอดว่า ใบปัดน้ำฝนที่ดีจะต้องปัดน้ำฝนให้หมดไปจากกระจก แท้ที่จริงแล้วการทำงานของใบปัดน้ำฝนนั้นจะปาดน้ำฝน โดยมีช่องว่าง ความห่างระหว่างกระจกและน้ำฝนประมาณ 0.01- 0.05 มม. เพื่อสร้างผิวฟิล์มบนกระจก หรือเรียกง่ายว่าการปาดน้ำให้เรียบนั่นเอง แต่ไม่ใช่เป็นการปาดน้ำทั้งหมดออกไปจากกระจก มิฉะนั้น หากออกแบบให้ใบปัดอยู่ติดกับกระจกมากเกินไปแล้ว จะทำให้เกิดปัญหาใบปัดสะดุด และสั่นกระพือเมื่อใช้งาน ชนิดของใบปัดน้ำฝน ชนิดของใบปัดน้ำฝนที่จำหน่ายในท้องตลาดปัจจุบัน 3 ชนิด ได้แก่ 1. ชนิดแบบมีโครงเหล็ก (Conventional Wiper Blade) ใบปัดน้ำฝนแบบนี้เป็นแบบดั้งเดิม ท่านจะสังเกตเห็นโครงเหล็กแขนยางปัดน้ำฝน และใบปัดน้ำฝน แบบนี้มีให้เห็นโดยทั่วไป ใบปัดน้ำฝนชนิดนี้จะใช้ได้ดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับปัจจัยดังต่อไปนี้ - คุณภาพของยาง ยางคุณภาพดีส่วนมากก็มาจากประเทศไทยและมาเลเซีย ผู้ผลิตจะใส่สารปรุงแต่งบางตัวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น สารต่อต้านแสงยูวี คาร์บอนแบลค - จำนวนจุดที่เป็นข้อต่อบนแขนของใบปัดน้ำฝน ยิ่งมีจุดข้อต่อมาก ยิ่งกระจายแรงกดไปบนยางรีดน้ำฝน ทำให้ใบปัดน้ำฝนปัดน้ำได้สะอาดเกลี้ยงเกลา ไม่ทิ้งคราบน้ำ - การออกแบบโครงเหล็ก ปัจจุบันมีผู้ผลิตหลายรายออกแบบโครงเหล็กให้มีความโค้งมนรับกับแรงลมตามหลักอากาศพลศาสตร์ ทำให้เกิดการกระพือของใบปัดน้ำฝนน้อยแม้จะวิ่งรถด้วยความเร็วสูง ชนิดของใบปัดน้ำฝน 2. ใบปัดน้ำฝนแบบซ่อนแขนใบปัดน้ำฝน (Semi Concealed Wiper Blade) ใบปัดน้ำฝนแบบที่ 2 นี้ มีโครงสร้างเหมือนกับแบบแรก แต่ผู้ผลิตออกแบบที่ครอบเพิ่มเพื่อนำมาครอบแขนใบปัดน้ำฝนไว้ แต่ยังคงเห็นเนื้อยางของใบปัดน้ำฝนอยู่ จุดประสงค์ก็คือเพื่อความสวยงาม จะเห็นได้ตามรถบางรุ่นเช่น รถยุโรป รถโตโยต้าแคมรี่ ฮอนด้าแจ๊ส 3. ใบปัดน้ำฝนแบบไร้โครงเหล็ก (Flat Blade) ท่านจะไม่สามารถสังเกตเห็นแขนของใบปัดและตัวยางปัดน้ำฝนเลย เพราะไม่มีโครงเหล็ก แต่จะมีแกนเหล็กทดแทนถูกฝังไว้ในเนื้อยาง ใบปัดแบบไร้โครงเหล็กนี้ มีคุณสมบัติในการปัดดี เนื่องจากน้ำหนักของใบปัดจะถูกกระจายไปทั่วเท่า ๆ กัน ทั้งแขนใบปัด ทั้งยังมีดีไซน์ที่ให้ความสปอร์ตอีกด้วย เมื่อไรที่ควรเปลี่ยนใบปัดน้ำฝน 1. เมื่อใบปัดน้ำฝนปัดไม่สะอาด ปัดไม่เรียบ เกิดคราบน้ำเป็นช่วง ๆ เกิดจากปัญหายางปัดน้ำฝนเสื่อมสภาพเป็นบางช่วงของหน้ายาง 2. ยางปัดน้ำฝนกระพือ เกิดจากปัญหายางปัดน้ำฝนเสื่อมสภาพ และแข็ง ทำให้ใบปัดกระโดด 3. ยางปัดน้ำฝนเสื่อมสภาพ และทำให้กระจกเป็นรอย ข้อควรระวังในการเลือกใบปัดน้ำฝน 1. การเลือกใช้ใบปัดน้ำฝนนั้น ท่านสามารถสังเกตรุ่นรถยนต์ของท่านได้จากข้างบรรจุภัณฑ์ของผู้ผลิตใบปัดน้ำฝน ผู้ผลิตหลายรายป้อนอะไหล่ใบปัดน้ำฝนให้กับทั้งโรงประกอบรถยนต์ และยังมีจำหน่ายในตลาดด้วย 2. เมื่อเลือกซื้อใบปัดน้ำฝน ไม่ควรเลือกซื้อใบปัดเก่าเก็บ เพราะยางบนใบปัดน้ำฝนนั้นมีอายุ บางครั้งผู้จำหน่ายไม่สามารถจำหน่ายสินค้าได้หมดภายในหน้าฝนปีก่อน ก็จะนำออกมาจำหน่ายในปีถัดไป เพราะส่วนใหญ่ผู้ใช้รถมักจะเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนในช่วงหน้าฝนเท่านั้น 3. หากบนใบปัดน้ำฝนมีการะบุภาษาอังกฤษตัวย่อบนใบปัดเช่น อักษร “D” ย่อมาจาก “Driver” ให้ผู้ใช้รถทุกท่านเข้าใจว่าใบปัดใบนั้นให้ติดตั้งฝั่งคนขับ ส่วนอักษร “P” ย่อมาจาก “Passenger” ก็คือฝั่งคนนั่งนั่นเอง 4. ให้สังเกตว่ารถรุ่นใหม่ ๆ ทุกวันนี้ก้านใบปัดน้ำฝนทางฝั่งคนขับ และคนนั่งจะมีขนาดที่ไม่เท่ากัน เช่น โตโยต้าวีออส เป็นต้น มีขนาดใบปัดโดยประมาณ 14” และ 21” ดังนั้นเวลาท่านซื้ออาจจะเลือกแบบแพ๊คสำเร็จสำหรับรุ่นนั้น ๆเลย หรือหากแยกซื้อเป็นกล่อง ๆ ก็ต้องระวังเรื่องนี้ไว้ด้วย โปรดติดตามเคล็ดลับดีๆแบบนี้ได้ในฉบับหน้า

วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เคล็ดลับการดูแลรักษาภายในรถ อย่างมืออาชีพ

รถเป็นการลงทุนที่ไม่น้อยสำหรับเรากว่าจะได้ครอบครอง ซึ่งต้องแลกกับเงินจำนวนไม่น้อย หรือต้องผ่อนส่งกันไปอีกหลายปี ดังนั้นการทำความสะอาดรถยนต์ทั้งภายนอกและภายในเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้รถมีสภาพดีอยู่กับเราไปนานๆ การดูดฝุ่น การดูดให้เริ่มจากบนลงล่างเหมือนกับการล้างรถ ไล่ตั้งแต่หลังคา คอนโซลหน้า กลาง และหลัง , แผงข้าง เบาะหน้าหลัง และซอกเก็บของต่างๆ โดยเฉพาะรถยุคใหม่ที่มีจุดใส่ของมากเป็นพิเศษ จนมาถึงพื้นให้ดึงเอาพรมรองเท้าทั้ง หน้าหลังออกไปดูดแยก ที่เหลือก็จัดการดูดตามพื้นให้ทั่ว อาจจะดันเก้าอี้ไปหน้าและหลังเพื่อสามารถเข้าไปดูดใต้เบาะได้ นอกจากนี้ฝากระโปรงหลังก็ควรดูดด้วย เพราะเป็นที่เก็บของขึ้นลงประจำ ทำให้เกิดความสกปรกได้ง่าย ในส่วนของแผงคอนโซลหน้า หรือบริเวณที่มีโลหะ และพลาสติกอยู่ เราอาจจะใช้ไม้ปัดฝุ่นขนาดเล็กเพื่อปัดแทนการดูด ถ้าหากกลัวว่าหัวเครื่องดูดอาจจะไปทำให้ผิวสัมผัสของวัสดุเหล่านี้เป็นรอยขึ้นมา การทำความสะอาด ชิ้นส่วนต่างๆในรถยนต์นั้นต้องการน้ำยาทำความสะอาดที่แตกต่างกันออกไปตามพื้นผิวของวัตถุนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็น พรม , หนัง หรือว่า พลาสติก แต่ก็ไม่จำเป็นต้องถึงกับลงทุนซื้อน้ำยาให้ครบทุกประเภทหรอกครับ เพราะแบบที่ใช้กันอยู่ตามบ้าน ก็ถือว่าโอเคแล้ว เพียงแต่ใช้ให้ตรงกันเท่านั้น เช่น น้ำยาทำความสะอาดพรมทั่วไปนอกจากใช้กับพรมที่บ้านแล้วก็สามารถนำมาใช้กับรถได้ , น้ำยาเช็ดคราบเอนกประสงค์ที่ระบุว่าใช้กับพลาสติกได้ก็สามารถใช้กับภายในของรถได้เช่นกัน , น้ำยาเช็ดกระจกส่วนใหญ่ก็ใช้แทนกันได้หมด ส่วนชิ้นส่วนที่เป็นผ้าในรถเช่น เบาะ (รุ่นที่เป็นผ้า), แผงข้างประตู, เพดานในรถ เหล่านี้สามารถใช้สบู่อ่อนๆกับน้ำอุ่นเช็ดคราบสกปรกออกได้ โดยไม่ต้องพึ่งน้ำยาใดๆ เก็บงาน เพื่อความสมบูรณ์ การบำรุงรักษาภายในหลังทำความสะอาดเป็นเรื่องจำเป็นไม่แพ้กันเช่น การลงน้ำยาเคลือบหนัง เพื่อให้หนังมีความชุ่มชื่นและคงสภาพสวยไว้ได้นานๆ ส่วนที่เป็น ไวนิล และ พลาสติก ก็สามารถใช้น้ำยาเคลือบภายในเพื่อความสวยงามและป้องกันแสงแดดได้ แต่พยายามเลี่ยงใช้ยี่ห้อที่ทำให้เกิดคราบเหนียว เพราะจะเปื้อนมือ(แล้วเอาไปจับของกินต่อ) และเสื้อผ้าได้ง่าย สุดท้ายคือดูดฝุ่นอีกรอบเพื่อเก็บเศษฝุ่นหลังจากการทำความสะอาดส่วนอื่นๆไปแล้ว ติดตามเคล็ดลับดีๆสำหรับคนรักรถกันได้ในฉบับหน้านะค่ะ

วันพุธที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ถอดรหัสตัวเลขและตัวอักษรบนยางรถยนต์...

ในวันนี้เราจะมาถอดรหัสตัวเลขและตัวอักษรบนยางรถยนต์ เพื่อการเลือกใช้ยางได้ถูกต้องตามต้องการ การเปลี่ยนยางชุดใหม่อาจไม่ได้สร้างความวุ่นวายให้กับคุณมากไปกว่าแค่การเลือกยี่ห้อยางที่เหมาะสมกับสถานภาพและความพอใจ ขอเพียงแค่เลือกขนาดเท่าเดิม ส่วนใครที่ซื้อรถยนต์มือสองมาอาจจะต้องหาข้อมูลหน่อยว่า ยางที่ระบุให้ใช้ตามสเปคกับรถยนต์เทียบกับยางที่เจ้าของเดิมใช้อยู่นั้นตรงกันหรือเปล่า แต่การใช้ยางขนาดอื่นที่ไม่ตรงตามคู่มือ ไม่ได้หมายความว่ามันจะทำให้รถคุณเสียหายไปในบัดดล หรือทำให้ โลกแตก ไปเลย เรารู้ว่าเจ้าของรถยนต์หลายคนมักเปลี่ยนล้อรถยนต์ที่สวยเข้าไปแทนของเดิมกันทั้งนั้น และส่วนใหญ่จะเป็นยางที่มีขนาดที่ใหญ่ขึ้นตามไปด้วย และส่วนใหญ่ก็มักจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของร้านในการเลือกขนาดยางที่เหมาะสมให้ หรือไม่ก็เกาะกระแสที่คนเล่นรถยนต์ส่วนใหญ่ใช้กัน ทั้งๆที่จริงแล้วการใช้ยางที่มีขนาดใหญ่หรือเล็กไปกว่าเดิม จะต้องมีการคำนวณเพื่อให้ได้ค่าเส้นรอบวงใกล้เคียงของเดิม ส่วนรหัสบนตัวยางก็เป็นเรื่องที่ควรทำความเข้าใจ เพื่อการเลือกใช้ยางรถยนต์ได้ถูกต้องตามที่ต้องการ Size : ตัวอย่างยางขนาด 235/70R16 ถือว่าเป็นขนาดปกติทั่วไป ที่ใช้กับรถโดยสาร และอาจจะใช้กับรถปิคอัพขนาดเบาได้ด้วย ตัวเลขหน้า 235 คือความกว้างของหน้ายางที่วัดออกมาเป็นหน่วยมิลลิเมตร ถัดมาคือ 70 เป็นอัตราส่วนระหว่างความสูงของแก้มยางเทียบกับหน้ายาง ต่อจากนั้นคือ R หมายถึงโครงสร้างยางแบบเรเดียล และสุดท้ายคือ 16 หมายถึงเส้นผ่าศูนย์กลางของล้อวัดเป็นนิ้ว Load index : ตัวเลขที่บ่งบอกน้ำหนักการโหลดของยางที่ปลอดภัย สังเกตได้หลังตำแหน่งขนาดยาง เช่น 104 จะเป็นค่าที่ทดสอบแล้วว่ายางเส้นนั้นสามารถแบกน้ำหนักได้ 1,984 ปอนด์ และการเลือกยางใหม่นั้นก็ควรพิจารณาค่าตรงนี้ไม่ให้ต่ำกว่าของเดิมที่ใช้อยู่ตามขนาดมาตรฐาน Speed rating : ตัวอักษรนี้อยู่ถัดจาก load Index เป็นการแสดงค่าความเร็วสูงสุดที่ยางสามารถรองรับได้ เช่น S T Q H V และ Z สำหรับยางที่ใช้ความเร็วสูงจะให้การควบคุมทิศทางที่ดีกว่า การเปลี่ยนยางชุดใหม่ก็อย่าลืมมองที่จุดนี้ด้วย โดยจะต้องเลือกรุ่นที่มีค่าความเร็วที่ไม่ด้อยไปกว่าเดิม รถที่มีแรงม้าสูงจำเป็นต้องเน้นค่าตรงนี้มากกว่าปกติด้วย Traction and temperature scores : เกรดคะแนนตรงนี้ได้มาจากการทดสอบยางขณะเบรกในถนนที่เปียกน้ำว่ามีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน รวมทั้งการทนต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิด้วย สำหรับเกรดที่ให้กับการยึดเกาะที่ดีที่สุดจะได้ AA ไล่ลงมาแย่สุดคือ C ส่วนเกรดวัดค่าการทนต่ออุณหภูมิ A จะดีที่สุด และไล่ลงไปแย่สุดที่ C Maximum pressure : แรงดันสูงสุดของยางที่เติมลมได้อย่างปลอดภัย หน่วยจะวัดเป็นปอนด์ต่อตารางนิ้ว แต่ไม่มีความจำเป็นที่คุณจะต้องไปเติมตามค่าที่ว่านี้ เพราะจะทำให้รถแข็งกระด้างเกินไป ให้เติมตามคำแนะนำที่ติดไว้ในตัวรถ หรือเพิ่มมากขึ้นได้ 2-3 ปอนด์ ยามต้องเดินทางไกลหรือมีการบรรทุกของ When the tire was made : ยางทุกเส้นจะมีการบอกวันที่ผลิตออกมาตาม DOT (Department of Transportation) ที่แก้มยาง ตัวเลข 4 หลักที่เห็นจะบอกถึงสัปดาห์และปีที่ผลิต เช่น 2204 คือยางที่ผลิตออกมาในสัปดาห์ที่ 22 ของปี 2004 เป็นต้น อย่าไปซื้อยางใหม่ที่มีอายุเก่าเกินกว่า 2 ปีไปแล้ว เพราะคุณภาพของยางจะเริ่มเสื่อมตามวันเวลา ให้สังเกต ร้านยางที่มีโปรโมชั่นขายยางใหม่ราคาถูกพิเศษ ว่ายางที่ขายเป็นยางที่ผลิตมานานกว่า 2 ปีแล้วหรือเปล่า ถ้าใช่ก็ควรหลีกเลี่ยง อย่าลืมว่ายางเก่าเก็บต่อให้ใหม่แค่ไหนก็เป็นยางที่ใกล้หมดสภาพ ถ้าเก่ามากไปก็ไม่ต่างไปจากอาหารหรือยาที่หมดอายุแล้ว การใช้มีแต่จะเสี่ยงต่อตัวคุณ และคนที่คุณรัก

ยางรถยนต์ เรื่องสำคัญที่ต้องเอาใจใส่

ยางรถยนต์นั้นมีบทบาทอย่างมากกับเรื่องความปลอดภัยในการขับขี่รถยนต์ เพราะเป็นส่วนเดียวของรถยนต์ที่ต้องสัมผัสกับพื้นผิวถนน และยังเป็นส่วนสำคัญที่มีผลกับรถยนต์ในหลายๆด้านเช่น การควบคุม การเบรค และการวิ่งด้วยความเร็วสูง แล้วเราควรจะทำอย่างไรถึงจะแน่ใจได้ว่ายางรถยนต์ที่ใช้อยู่ หรือที่ติดมากับการซื้อรถยนต์มือสองนั้นอยู่ในสภาพที่ดีพอหรือไม่ การใช้เวลาตรวจเช็คยางรถยนต์เพียงเล็กน้อยเป็นประจำเป็นเรื่องง่าย และคุ้มค่ากับความปลอดภัยของครอบครัวคุณอย่างแน่นอน สัญญาณเตือนว่ายางรถยนต์เริ่มมีปัญหา การตรวจสภาพยางรถยนต์เป็นประจำก่อนการใช้ เป็นเรื่องที่ควรทำเป็นนิสัย และถ้าสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติใดๆที่ตัวยาง ผู้ใช้รถยนต์ควรรีบไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบหรือเปลี่ยนทันที สำหรับ ลักษณะของยางรถยนต์ที่ต้องระวังนั้นคือ ยางรถยนต์ที่มีรอยฉีกขาดที่แก้มยาง , ดอกยางสึกไม่เท่ากัน ซึ่งอาจเกิดจากการเติมลมยางไม่เหมาะสม ล้อรถยนต์ไม่ได้ศูนย์ หรือปัญหาจากระบบช่วงล่างอื่นๆ การดูว่ายางรถยนต์สึกหรอมากเกินไปหรือไม่นั้น สำหรับยางรถยนต์รุ่นใหม่ๆ นั้นส่วนมากจะมีจุดบอกค่าความสึกหรอของยางอยู่ระหว่างดอกยาง เป็นลักษณะสันยางเล็กนูนขวางตามร่องยาง ถ้าเห็นว่าดอกยางสึกจนอยู่ในระดับแนวเดียวกับสันยาง แสดงว่าถึงเวลาเปลี่ยนยางรถยนต์ชุดใหม่แล้ว เช่นเดียวกับอาการบวมที่แก้มยาง ให้สังเกตผิวที่นูนขึ้นมาผิดปกติหรือใช้มือลูบยางดู ลักษณะแบบนี้อาจทำให้ยางรถยนต์ระเบิดได้ ซึ่งควรรีบทำการเปลี่ยนยางรถยนต์เช่นกัน นอกจากนี้ให้ดูสภาพเนื้อยางประกอบด้วยว่ายังคงมีความยืดหยุ่นอยู่หรือเปล่า ยิ่งถ้าเราใช้งานยางรถยนต์มามากกว่า 2 ปีขึ้นไป และวิ่งด้วยระยะทางไม่ต่ำกว่า 4 หมื่นกิโลเมตร ยางรถยนต์บางยี่ห้ออาจจะมีเนื้อแข็งจนทำให้ดอกยางสึกยาก และการดูที่ตัวบอกค่าความสึกหรอก็อาจใช้ไม่ได้ ควรพิจารณาเนื้อยางด้วยการใช้เหรียญกดหรือเล็บจิกทดสอบดูว่าเนื้อยางยุบตัวได้แค่ไหน ถ้ากดลงยากหรือตรวจพบรอยแตกงาตามเนื้อยางก็ควรเปลี่ยนเช่นกัน ปัญหาจากลมยางอ่อน จากการสำรวจพบว่า กว่าครึ่งหนึ่งที่วิ่งอยู่บนท้องถนน จะมีอย่างน้อยหนึ่งล้อที่ลมยางอ่อนกว่าที่เติมไว้ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะมันซึมออกที่ตัวยางรถเอง หรือ ตามขอบล้อ หรือวาล์วลมรั่ว ซึ่งเกิดขึ้นอย่างช้าๆ จนเราสังเกตไม่ออก อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แรงดันลมของยางอ่อนลงได้เหมือนกัน นอกจากนั้น ด้วยการที่แก้มยางจะมีความยืดหยุ่นมากขึ้นเมื่ออุณหภูมิต่ำลง ตัวยางเองก็จะมีข้อจำกัดสำหรับแรงดันลมที่เปลี่ยนไปเพื่อให้การขับขี่ยังคงความปลอดภัย การที่แรงดันลมหายไปแค่เพียง 4 psi ก็ส่งผลต่อการขับขี่รถยนต์ได้ เพราะ มันจะทำให้การควบคุมรถยนต์นั้นยากขึ้น ข้อแนะนำเรื่องลมยาง ในการตรวจสอบลมยางนั้น ผู้ใช้รถยนต์ควรอย่าตัดสินแรงดันลมมากน้อยด้วยสายตา เพราะยางสมัยใหม่จะดูเหมือนแบนโค้งหน่อยๆอยู่แล้ว ซึ่งบางคนก็เข้าใจว่าลมยางยังอ่อนเกินไป ทั้งๆที่จริงๆนั้นไม่ใช่ ทางที่ดีที่สุดคือให้ใช้เกจวัดลมยางทั้ง 4 ล้อ รวมถึงยางอะไหล่รถ (เกจวัดลมยางควรมีติดรถไว้) และเติมตามค่าที่ผู้ผลิตรถแนะนำไว้ ซึ่งจะระบุไว้ที่ซุ้มประตูด้านใน หรือจากในคู่มือรถยนต์ ส่วนยางอะไหล่รถยนต์ให้เติมไว้ที่ 60 psi และห้ามเติมตามค่าสูงสุดที่ระบุไว้ที่ตัวยางรถยนต์ ส่วนการเติมลมยางรถยนต์นั้นควรเติมในขณะที่อุณหภูมิของยางรถยนต์ยังเย็นอยู่ หรือเพิ่งขับออกจากบ้านไม่เกิน 3 กิโลเมตร ด้วยความเร็วต่ำ เพราะการเติมลมยางหลังจากใช้งานเสร็จใหม่ๆ อุณหภูมิข้างในจะร้อน ซึ่งยากต่อการเติมให้ได้ค่าที่เที่ยงตรง อย่างไรก็ตามการสึกหรอของยางรถยนต์นั้น ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานของผู้ขับขี่เอง ตลอดจนการใช้ประเภทยางที่เหมาะสมด้วย

วันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เคล็ดลับการล้างรถ ให้เงาวับ ใสปิ๊ง (ตอนที่ 2)

ตอนที่ 2 ของ เคล็ดลับการล้างรถคันโปรด ให้เงาวับ ใสปิ๊ง” นี้ เราจะแนะนำถึงผลิตภัณฑ์ที่ควรใช้ ในการทำความสะอาดรถยนต์ พร้อมกับคำแนะนำในการล้างรถ สำหรับรถใหม่ รถป้ายแดงหรือรถยนต์มือสองคันเก่งของคุณครับ ผลิตภัณฑ์ที่ควรใช้ อย่าใช้พวกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดในบ้านอย่างสบู่ , น้ำยาล้างจาน หรือ น้ำยาเช็ดกระจกล้างรถเป็นอันขาด ของเหล่านี้ไม่ได้ถูกทำมาเพื่อล้างสีรถโดยเฉพาะ เพราะมันอาจทำให้แว็กที่เคลือบอยู่จางลงไปได้ ให้ใช้น้ำยาล้างรถโดยเฉพาะ เอาแบบที่ดูมีมาตรฐาน แล้วใช้ฟองน้ำล้างรถโดยเฉพาะหรือผ้าขนแกะซับฟองที่ดีล้าง ควรใช้ฟองน้ำแยกต่างหากอีกอันเพื่อเอาไว้ล้างล้อกับยางโดยเฉพาะ เพราะที่ล้อจะเต็มไปด้วยเศษทราย , ฝุ่นจากผ้าเบรค และเศษผงต่างๆนาๆที่สามารถทำร้ายสีรถได้ ตรงนี้ให้ใช้สบู่อ่อนๆกับน้ำจะดีกว่า แต่ถ้ายังไม่ออกให้ใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับทำความสะอาดล้อโดยเฉพาะจะเห็นผลมากกว่า แต่ต้องแน่ใจด้วยว่าผลิตภัณฑ์ที่ว่านั้นใช้ได้กับล้อรถของคุณ ซึ่งอาจจะเป็นล้อโครเมี่ยม หรือว่าพ่นสีมา น้ำยาทำความสะอาดล้อส่วนใหญ่จะแรง ซึ่งมันอาจจะมีผลต่อล้อของรถในยุคปัจจุบันที่มักจะเคลือบแล็กเกอร์เอาไว้ ดังนั้นพยายามหาน้ำยาแบบที่ใช้ได้กับล้อทุกประเภทจะดีกว่า คำแนะนำในการล้างรถ อย่าล้างรถขณะที่ตัวถังยังร้อนอยู่ เช่นทันทีหลังจากเพิ่งขับมาไกลๆ หรือหลังจอดตากแดด เพราะความร้อนจะทำให้เกิดคราบน้ำได้ง่าย เวลาล้างเองก็ลำบากด้วย อย่าหมุนฟองน้ำเป็นวงกลมตอนล้าง(ส่วนใหญ่ทำกันเป็นประจำ) แม้ว่าจะดูสะอาดเกลี้ยงเกลา แต่ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นรอยเส้นเป็นวงๆ (เป็นรอยที่เกิดบ่อยกับรถทุกคันโดยเฉพาะรถสีดำ) ให้ถูฟองน้ำเป็นแนวยาวขวางตัวรถทุกส่วน และอย่าใช้ฟองน้ำที่ตกพื้นล้างต่อเป็นอันขาด ให้ล้างฟองน้ำก่อนใช้ต่อทุกครั้ง เพราะฟองน้ำที่หล่นกับพื้นมันจะดึงเอาเศษกรวดขึ้นมาด้วย ซึ่งมันจะทำให้รถคุณเป็นรอยได้ ฉีดน้ำให้ทั่วรถก่อนล้างทุกครั้ง เพื่อที่จะเอาคราบสกปรกต่างๆออกไปก่อน เพราะมันจะทำให้เกิดรอยข่วนตอนล้างได้เหมือนกัน และเมื่อเริ่มลงมือล้างแล้วขอให้ล้างเสร็จเป็นส่วนๆไป คือถูน้ำยาเสร็จตรงชิ้นไหนก็ให้ล้างน้ำออกเลย จะได้ไม่ต้องพะวงว่าฟองน้ำยาจะแห้งไปก่อน จากนั้นถึงค่อยย้ายไปส่วนอื่นต่อ ทำแบบนี้จนครบทั่วทั้งคัน ล้างเสร็จแล้วควรจะทำให้แห้งอย่างไรดี ? อย่าปล่อยให้รถแห้งเอง หรือขับออกไปวนสลัดน้ำ ทั้ง 2 วิธีนี้จะทำให้เกิดคราบเป็นดวงๆติดรถได้ และก็อย่าใช้ผ้าที่หยาบหรืออย่างอื่นที่อาจทำให้เกิดรอบขนแมวมาเช็ด ใช้ผ้าชามัวร์ (ธรรมชาติหรือสังเคราะห์ก็ได้) หรือ ผ้าขนหนูนุ่มๆเช็ดเอา ถ้าคุณใช้ผ้าขนหนู ก็อาจจะต้องออกแรงหลายรอบหน่อย การเช็ดให้ซับขึ้นมาแทนการถูอย่างที่เราคุ้นเคย ขั้นตอนเหล่านี้อาจจะต้องใช้เวลาและออกแรงกันมากซักหน่อย แต่เพื่อความสวยงามของรถที่คุณรักซะอย่าง นานแค่ไหนก็ยอมใช่ไหมล่ะ

เคล็ดลับการล้างรถให้เงาวับ ใสปิ๊ง (ตอนที่ 1)

คำแนะนำสำหรับการล้างรถที่ถูกต้อง ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเดิมๆ แต่เชื่อเถอะว่ามีอะไรหลายอย่างที่คุณยังไม่รู้ หรือสิ่งที่รู้นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เจ้าของรถหลายคน มักจะอาศัยช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ล้างรถกันเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีครับ และเชื่อแน่ว่าความรู้สึกที่ทำความสะอาดรถยนต์เองกับจ้างเขาล้างนั้นจะต่างกัน เวลาที่เรายืนดูความสดใสของตัวรถที่ล้างมากับมือนั้นเหมือนอยากให้มันสะอาดไปนานๆ การล้างรถบ่อยๆเป็นเรื่องที่ดีแน่ เพราะกันไม่ให้คราบสกปรกมาสะสมตัวนานเกินไป หรือทำปฏิกิริยากับสีรถได้ แต่การล้างรถเองนั้น บางทีกลับให้ผลตรงกันข้ามได้ ถ้าคุณไม่ระวังหรือมีความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง นี่คือข้อแนะนำง่ายๆในการล้างรถด้วยตนเองครับ ควรจะล้างรถเมื่อไหร่ ? อย่ารอให้คราบสกปรกสะสมจนหนาแล้วถึงค่อยล้าง พวกซากแมลง, ขี้นก และสารเคมีจากสภาพแวดล้อม ทำให้เกิดความเป็นกรดซึ่งจะทำให้แว็กที่เคลือบอยู่หลุดออกไปได้ และยิ่งนานวันเข้าก็อาจทำให้ชั้นสีเสียหาย ยิ่งถ้าปล่อยไว้นานมากๆ ก็อาจต้องถึงขั้นทำสีใหม่กันเลย การล้างพวกซากแมลง , ขี้นก และใบไม้แห้งที่ติดตามตัวรถ ควรล้างออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เมื่อพบเห็น และการล้างรถนั้นควรทำเป็นประจำทุกสัปดาห์เพื่อให้สีรถดูดีอยู่เสมอ นอกจากนั้นแล้ว ถ้ารถคันโปรดของเราต้องเจอกับฝนที่มีความเป็นกรดสูง ให้พยายามฉีดล้างน้ำทันทีหลังฝนหยุดตก ไม่อย่างนั้นแล้ว ค่าความเป็นกรดของเม็ดฝนที่เกาะอยู่ เมื่อมันระเหยออกไปเองแล้ว จะทำให้เกิดรอยตำหนิแบบถาวรได้ การล้างรถเป็นสิ่งที่ควรทำอยู่สม่าเสมอ เพราะนอกจากเป็นการทำให้รถเราดูดีอยู่เสมอแล้ว ยังเป็นการรักษาสีของรถเราอีกต่างหาก

เทคนิคการสตาร์ทรถที่ถูกวิธี

ในระบบสตาร์ทรถยนต์โดยทั่วไป ทั้งเครื่องยนต์เบนซิน และดีเซล ที่กุญแจสตาร์ทจะต้องบิดกุญแจ 3 จังหวะ คือ AC , ON และ START ผู้ขับขี่บางท่านอาจจะปิดกุญแจรวดเดียว 3 จังหวะไปที่ START ถ้ารถท่านเป็นรถใหม่ก็อาจจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้ารถท่านผ่านการใช้งานมานาน ๆ อาจต้องสตาร์ทหลายครั้งก่อนที่เครื่องยนต์จะติด ซึ่งระหว่างที่ท่านสตาร์ทรถหลาย ๆ ครั้งนั้น ท่านกำลังทำลายระบบสตาร์ทให้อายุการใช้งานสั้นลง การสตาร์ทรถที่ถูกวิธี นอกจากจะไม่ต้องทำให้เสียเวลาสตาร์ท แชะ แชะ แชะ ให้เสียฟอร์มแล้ง ยังถือเป็นการยืดอายุระบบสตาร์ทให้ใช้งานได้ดีอีกนานแสนนาน ด้วยวิธีง่าย ๆ ดังนี้ 1. ปิดอุปกรณ์ที่ใช้ระบบไฟทั้งหมดในรถ เช่น เครื่องปรับอากาศไฟหน้า และเครื่องเสียงต่าง ๆ เพื่อให้แบตเตอร์รี่จ่ายไฟเต็มที่ 2. เหยียบครัชให้สุด (สำหรับเกียร์ AUTO ให้เข้าเกียร์ที่ตำแหน่ง N หรือ P เพื่อผ่อนแรงมอเตอร์สตาร์ท) 3. บิดกุญแจมาที่ตำแหน่ง ON ค้างไว้ ตรวจเช็คไฟเตือนต่าง (รายละเอียดให้ศึกษาจากคู่มือรถ) รอจนไฟเตือนหัวเผารูปขดสปริงเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียว หากเครื่องยนต์เย็นควรกดแป้นคันเร่ง 1 ครั้ง 4. บิดกุญแจสตาร์ท เท่านี้คุณก็ไม่ต้องนั่งเสียฟอร์มสตาร์ทรถ แชะ แชะ แชะแล้ว อย่างไรก็ตาม เราขอให้ทำจนเป็นนิสัยไม่ว่ารถเก่า หรือรถใหม่ หากทำตามวิธีนี้แล้วไม่ได้ผลให้ท่านนำรถเข้าตรวจเช็คที่ศูนย์บริการ หรือร้านซ่อมระบบไฟ ไดชาร์ท ไดสตาร์ทโดยทั่วไป

วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เรื่องน่ารู้กับ.. การทำงานของระบบไฮบริด

วันนี้ขอเอาบทความดีๆมาแบ่งปัน สำหรับคุณผู้อ่าน ว่าระบบไฮบริดที่เรียกกันนักหนานั้นมันเป็นยังไง ขอเชิญติดตามกันเลยจ้าา ระบบไฮบริด (Hybrid Car Technology) คือระบบขับเคลื่อน 2 แบบในรถยนต์คันเดียวกัน เครื่องยนต์จะใช้น้ำมันเชื้อเพลิง และมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ใช้กระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ โดยทั้งสองระบบจะทำงานผสมผสาน กันตลอดเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ และชาญฉลาด เพื่อขับเคลื่อนรถยนต์ ซึ่งจะช่วยประหยัดเชื้อเพลิง และลดการปล่อยมลพิษ ในขณะเดียวกันก็ให้สมรรถนะการขับขี่ที่เหนือกว่ารถยนต์ทั่วไป อย่างที่เรารู้กัน... รถยนต์ทั่วไปจะใช้การทำงานของเชื่อเพลิงเป็นตัวขับเคลื่อนเท่านั้น ส่วนระบบ ไฮบริด เทคโนโลยี คือการทำงานร่วมกัน ระหว่างเชื้อเพลิง และมอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อน และหนึ่งประโยชน์ของระบบไฮบริด คือ ให้สมรรถนะในการขับขี่ที่ดีเยี่ยม เพราะระบบจะควบคุม และสร้างสมดุลย์ระหว่าง เครื่องยนต์ น้ำมันเชื้อเพลิง และมอเตอร์ไฟฟ้า ให้ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ จุดสำคัญอยู่ที่ การหยุดการทำงานของเครื่องยนต์ และให้รถขับเคลื่อนต่อไปด้วยระบบไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวอย่างนุ่มนวล ส่วนใครที่กังวลว่า รถที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนนี้ จะมีความยุ่งยากซับซ้อนในการชาร์จแบตเตอรี่ ต้องบอกว่า ไม่มีความยุ่งยากใดๆ เลย เพราะ ระบบจะทำการชาร์จไฟด้วยตัวเอง ด้วยพลังงานไฟฟ้าที่ถูกสร้างขึ้นในขณะที่รถยนต์กำลังวิ่ง จึงไม่ต้องมีการใช้สายไฟ ปลั๊กไฟ... เรียกได้ว่าไม่มีความจำเป็นใดๆ ในการชาร์จไฟ (ด้วยตัวของคุณเอง) อีกเลย ประโยชน์จากระบบไฮบริด อันดับแรก... แน่นอนคือ ประหยัดพลังงาน ระบบไฮบริดจะเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงในขณะขับเคลื่อนได้เป็นอย่างดี โดยขณะออกตัวจะใช้มอเตอร์ไฟฟ้า และเมื่อลดความเร็วโดยการแตะเบรก เครื่องยนต์จะหยุดทำงาน ซึ่งทั้ง 2 จังหวะนี้ เป็นการลดปริมาณการใช้เชื้อเพลิงโดยตรง และพลังงานความร้อนที่สูญไปโดยเปล่าประโยชน์ จะถูกแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้า เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ นอกจากนั้น ระบบไฮบริดจะช่วยในเรื่องของการลดมลพิษ โดยการหยุดคายไอเสียในบางจังหวะของการขับขี่ ด้วยการหยุดการทำงานของเครื่องยนต์ในบางจังหวะ เช่นในจังหวะที่รถหยุดนิ่ง หรือการลดความเร็วของรถยนต์ ขอขอบคุณที่ทุกท่านติดตาม

วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เรื่องขี้ๆ (นก) อิอิ

ทุกวันนี้สำหรับคนรักรถอย่างเราๆ ท่านๆ คงต้องบอกว่า การดูแลรักษารถยนต์ให้เอี่ยมตลอดเวลานั้น ไม่ใช่เรื่องยาก และก็ไม่ใช่เรื่องง่าย และอุปสรรคสำหรับหลายๆ คน ก็คือ "ขี้นก" ซึ่งก็มีผลสำรวจว่ารถสีแดงนกจะชอบ จากผลการวิจัยต่างประเทศอีกด้วย หลายคนคงคิดว่า ขี้นกอาจจะเป็นแค่คราบสกปรกที่ไม่นาน ก็สามารถเอาออกได้ แต่ที่จริงมันมีผลต่อสีรถ และวันนี้เรามีคำแนะนำในการดูแลรักษารถยนต์ หากคุณต้องผจญภัยกับเหตุที่ช่วยไม่ได้ เมื่อนกเห็นรถคุณเป็นห้องน้ำเคลื่อนที่ 1. อย่าปล่อยวาง หลายคนวางใจกับขี้นก ด้วยที่มันเป็นเพียงความสกปรกที่ดูแล้ว อาจจะไม่ต่างจากฉี่ของสุนัขที่บ้านเราที่อาจจะเจอกันจนชิน แต่ที่แล้วความชินชาของเราก็เป็นผลเสีย เพราะที่จริงรอยคราบขี้นกนั้น มีผลต่อสีของตัวรถ ทางที่ดีควรจะเร่งเอาออกเสียแต่เนิ่นๆ โดยใช้ผ้าที่มีเนื้อนิ่ม หรือกระดาษที่มีเนื้อในการหยิบ.. ห้ามถูโดยเด็ดขาด! 2. กรณีขี้แห้ง หลายคนมักจะทิ้งไว้ให้แห้ง แต่นั่นเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์ เพราะมันจะทำให้เกิดการกัดกร่อนในชั้นของแล็คเกอร์ ซึ่งคุณจะไม่มีทางรู้เลย ในกรณีขี้แห้ง ถ้าคุณสะกิดๆ ออกอาจะทำให้เกิดการติดในบางส่วนอยู่ได้ ดังนั้น ทางที่ดีที่สุด คือ ใช้ผ้านิ่ม หรือกระดาษเหมือนเดิม แต่ให้หาน้ำยาพวกแว๊ก หรือสารทำความสะอาดที่มีความสามารถในการหล่อลื่นมาทา ซึ่งถ้ามันยากมาก ก็ให้ทาแล้ว ทิ้งไว้สักพัก ค่อยมาเช็ดออกอีกที 3. อย่าลืมล้างมือ หลังจากที่มีปัญหาโรคหวัดนก การดูแลป้องกันจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งคุณไม่มีทางรู้ได้เลยว่า มูลนกนั้น จะมีอะไรปะปนมาบ้าง ซึ่งอาจจะเป็นเชื้อโรค ดังนั้น ทุกครั้งที่กำจัดคราบขี้นกออก เราควรล้างมือ โดยด่วน เพื่อป้องกันเชื้อโรค 4. ล้างรถให้สะอาด ถ้าคุณมีเวลาว่างมากพอ การแวะไปล้างรถเสียหน่อยก้น่าจะเป็นเรื่องดี เพราะการล้างรถ เป็นการทำความสะอาดที่ดีที่สุดสำหรับรถยนต์ และจะให้ดียิ่งขึ้น ควรจะเคลือบแว๊กซ์ตามลงไปด้วย แต่แน่นอนว่า คงต้องใช้เวลาในการทำการขัดเคลือบรถที่คุณรัก 5. หาที่จอดรถใหม่ สุดท้ายนั้น กรณีที่คุณไปในที่เดิมๆ แล้วพบกับขี้นกเป็นประจำ คงต้องแนะนำว่าที่ตรงนั้นอาจจะฮวงจุ้ยไม่ดี ในการจอดรถถ้าคุณรักรถของคุณ ทางที่ดี ลองเปลี่ยนที่จอดใหม่ น่าจะดีกว่าการป้องกัน และรักษาสภาพสีรถของคุณ สำหรับ คำแนะนำ 5 ข้อนี้ คือสิ่งที่เราพอจะช่วยได้บ้างในการดุแลรักษารถของคุณ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การป้องกันขี้นก ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์กับสีรถ และยังทำให้รถคุณหมดราศีอีกด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2555

4 คุณสมบัติสำคัญก่อนมาเป็น.. อีโค คาร์!!

ปัจจุบันนั้น คำว่า อีโค คาร์ (Eco Car) ถือเป็นรถยนต์แบบหนึ่งที่หลายๆ คน เคยได้ยิน โดยรถประเภทนี้เริ่มมีทางเลือกมากขึ้น ทั้ง Nissan March, Nissan Almera, Honda Brio, Suzuki Swift และ Mitsubishi Mirage แต่แท้จริงแล้ว ยังมีอีกหลายคนที่ไม่ทราบว่าชื่อนี้ มาจากไหน แล้วทำไมถึงต้องเป็น.. อีโค คาร์

รถอีโค คาร์ นั้น มีข้อกำหนดคุณสมบัติของรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตราฐานสากล ทั้งหมด 4 ข้อ โดยรถที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานดังกล่าวจะได้รับประโยชน์ทางภาษี โดยภาษีสรรพามิตรของอีโค คาร์ 17% อีกด้วย



โดยทั้ง 4 คุณสมบัติ ของรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (ECO Technology) มีดังต่อไปนี้

  • ความประหยัดน้ำมัน ต้องมีอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงไม่เกิน 5 ลิตร/100 กม. หรือ น้ำมัน 1 ลิตรวิ่งได้ระยะทาง 20 กม.
  • การรักษาสิ่งแวดล้อม ผ่านมาตรฐานมลพิษปลอดภัย ระดับยูโร 4 คือ มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์น้อยกว่า 120 กรัม/ระยะทาง 1 กม. โดยรถยนต์ในกลุ่มประเทศยุโรป มีเพียง 5% ที่ผ่านมาตรฐานระดับยูโร 4 นี้
  • ความปลอดภัยในระดับสูง ได้มาตรฐานความปลอดภัยของยุโรป (UNECE 94 และ 95) ซึ่งเป็นมาตรฐานความปลอดภัยจากการชนด้านหน้า และด้านข้าง
  • ความคล่องตัว เพื่อให้เป็นรถยนต์ขนาดเล็ก เหมาะสำหรับการขับขี่ในเมือง จึงกำหนดความจุกระบอกสูบไม่เกิน 1,300 ซีซี สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน และไม่เกิน 1,400 ซีซี สำหรับเครื่องยนต์ดีเซล

สำรวจความต้องการ ก่อนตัดสินใจซื้อรถใหม่


การซื้อรถนั้นไม่ได้สบายอย่างที่หลายๆ คนคาดคิด เพราะทุกครั้งที่จ่าย หมายความถึงภาระที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งวันนี้เราก็มีแบบสำรวจก่อนลงมือ หรือตัดสินใจซื้อรถใหม่ มาฝากเพื่อนๆ กันค่ะ
 
1.เดินทางสะดวกไหม หลายคนที่ซื้อรถมักใช้เหตุผลว่า มีรถจะสะดวกขึ้น แต่ความจริงแล้ว เราควรจะดูก่อนว่ามันจำเป็นจริงๆ หรือไม่ หลายคนพักอาศัยในสถานที่ๆ การเดินทางค่อนข้างสะดวกพอสมควร เช่นมีรถเมล์-รถไฟฟ้า ผ่าน บางครั้งการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวอาจจะไม่ได้จำเป็นมาก เว้นแต่การกลับบ้านที่ไม่เป็นเวลา เป็นต้น
 
2.เวลาที่ใช้ในการเดินทาง หนึ่งในปัจจัยสำคัญ ของการตัดสินใจ ซื้อรถคงหนีไม่พ้นเรื่อง เวลา ซึ่งหลายคนมักคิดว่าการขับรถจะกลับบ้านได้เร็วกว่า แต่ด้วยสภาพถนนในเมืองไทย อาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ซึ่งการสำรวจนั้น สามารถทำได้ง่ายๆ โดยลองนั่งรถแท็กซี่ดูว่าใช้เวลาเท่าได แล้วเทียบกับการเดินทางโดยปกติของคุณ
 

 
3.ที่จอดรถ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ห้ามลืมเป็นอันขาด ปัจจัยอื่นๆ รวมถึงที่จอดรถ อาจเป็นสิ่งที่หลายๆ คนคิดว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยคิด แต่การมีรถควรจะต้องมีการตระเตรียมที่ดี รวมถึงในเรื่องของที่จอดรถ ซึ่ง ในยามที่เราไม่ใช้รถ เราจะเอามันไปจอดตรงไหน ทั้งที่บ้าน และที่ทำงาน เพราะบางทีการหาที่จอดรถก็เป็นภาระของคุณทั้งทางด้านเวลา และค่าใช้จ่าย
 
4.หนี้สินที่อาจเกิดขึ้น การตัดสิน ใจซื้อรถของใครหลายๆ คนนั้น บางครั้งอาจต้องแลกมาด้วยการเป็นหนี้ และต้องเป็นไปอีกอย่างน้อยๆ ก็ 3-4 ปีเลยทีเดียว และคงจะปฏิเสธไม่ได้ ที่หลายๆ คนเอาเงินเก็บแทบทั้งชีวิตมาจมกับรถ และที่สำคัญควรมองหน้าที่การงานในความมั่นคงด้วยว่า พร้อมแล้วรึยัง 
 

 
5.ทำไมต้องมีรถ บางทีการคิดย้อนถามตัวเอง อาจจะช่วยให้คุณนึกออกว่าทำไมรถยนต์ถึงจำเป็นสำหรับตัวคุณ ลองไตร่ตรองคำถามนี้ดูสักหน่อย ก่อนคิดจะซื้อรถยนต์
 
ซึ่งบางครั้ง คนเราอาจจะต้องการมีรถเพิ่ม แต่บางครั้งการมีรถเพิ่มอาจจะไม่ใช่คำตอบ ถ้าคุณเลือกรถที่ถูกต้องได้ อย่างเช่น คุณกำลังมีลูกเล็กเพิ่มขึ้นมาเป็นสมาชิกใหม่ บางทีการมีรถซิตี้คาร์ 2 คัน อาจจะให้การตอบสนองได้ดีไม่เท่ารถอเนกประสงค์คันเดียว เป็นต้น
 
สำหรับแบบสำรวจคร่าวๆ นี้ก็เป็นคำถามที่หลายๆ คน อาจจะคิดถึง หรือยังไม่คิดถึง ซึ่งบางครั้งการมีรถก็เป็นการสร้างหนี้สินให้กับตัวเรา แต่หากว่าคุณคิดแล้วว่าการมีรถ คือเรื่องที่เหมาะสม และทำให้ชีวิตดีขึ้น บางทีการมองหารถสักคันน่าจะเป็นเรื่องดีสำหรับคุณ
 

วันพุธที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ครม.ไฟเขียว ขยายเวลาส่งมอบ รถคันแรก ไม่มีกำหนด

ครม.ไฟเขียว ขยายเวลาส่งมอบ รถคันแรก ไม่มีกำหนด

พร้อมให้ยกเว้นภาษีนำเข้า ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม การยกเว้นภาษีการขายให้กับบุคคลธรรมดา ถึงสิ้นปี57
Mthai News ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางสาวศันสนีย์ นาคพงศ์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวแถลงข่าว หลังประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบขยายเวลารับและส่งมอบรถยนต์คันแรกออกไป ไม่มีกำหนด
และให้ยื่นขอคืนเงินภาษีรถยนต์คันแรกไม่เกิน 1 แสนบาท ต่อกรมสรรพสามิต ภายใน 90 วันนับจากวันรับมอบรถยนต์ โดยผู้ขอใช้สิทธิจะต้องจองรถภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2555 ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดโครงการ
ขณะเดียวกัน เพื่อให้โครงการรถยนต์ใหม่คันแรก ดำเนินไปได้อย่างราบรื่น กระทรวงการคลัง พิจารณาแล้วเห็นว่าไม่ควรขยายเวลาวันสิ้นสุดโครงการที่จะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2555 แต่เห็นควรขยายเวลารับและส่งมอบรถยนต์ รวมถึงเอกสารหลักฐานบางรายการออกไป
เนื่องจากวันที่ 31 ธ.ค.55  ผู้ใช้สิทธิ์อาจยังไม่ได้รับมอบรถยนต์ หรือจดทะเบียนกับกรมขนส่งทางบกไม่ทันตามกำหนด เวลา จึงผ่อนผันให้ผู้ขอใช้สิทธิ์นำเอกสารหลักฐานเพิ่มเติม มายื่นที่สำนักงาน สรรพสามิตพื้นที่ หรือสรรพสามิตสาขา ภายในระยะเวลา 90 วันนับจากวันมอบรถยนต์
นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม.เห็นชอบการยกเว้นภาษีนำเข้า ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม การยกเว้นภาษีการขายให้กับบุคคลธรรมดาโดยจะบังคับใช้จนถึงสิ้นปี 2557 เพื่อสนับสนุนกลุ่มอัญมณีไทยให้เป็นศูนย์กลางอัญมณีของโลก
สำหรับแนวทางการดำเนินงานตามที่กระทรวงการคลังเสนอมีดังนี้
1. ผู้ขอใช้สิทธิฯ ต้องทำการซื้อหรือจองรถยนต์ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2555 และต้องยื่นคำขอใช้สิทธิฯ และเอกสารประกอบการใช้สิทธิฯ ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2555 ดังนี้
(1) สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
(2) สำเนาทะเบียนบ้าน
(3) สำเนาหนังสือสัญญาเช่าซื้อ (ถ้ามี)
(4) สำเนาบัญชีเงินฝากธนาคารของผู้ขอใช้สิทธิฯ
(5) ใบจองรถยนต์ (ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2555)
2. เนื่องจากในวันที่ 31 ธันวาคม 2555 ผู้ขอใช้สิทธิฯ อาจจะยังไม่ได้รับมอบรถยนต์หรือจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกไม่ทันตามกำหนด เวลาส่งผลให้ไม่สามารถยื่นเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ได้ภายในวันสิ้นสุดโครงการฯ (31 ธันวาคม 2555) จึงผ่อนผันให้ผู้ขอใช้สิทธิฯ นำเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมมายื่น ณ สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่สาขาภายในระยะเวลา 90 วันนับจากวันถัดจากวันรับมอบรถยนต์ ดังนี้
(1) หนังสือสัญญายินยอมสละสิทธิ์การโอนรถยนต์ใหม่คันแรก
(2) สำเนาหลักฐานการซื้อขายรถยนต์
(2.1) กรณีการซื้อด้วยเงินสด
- สำเนาใบเสร็จรับเงินหรือสำเนาสัญญาซื้อขาย
- สำเนาเอกสารการรับมอบรถยนต์
(2.2) กรณีเช่าซื้อ
- สำเนาใบเสร็จรับเงิน
- สำเนาเอกสารการรับมอบรถยนต์
- สำเนาหนังสือสัญญาเช่าซื้อ
(3) สำเนาคู่มือจดทะเบียน
3. หากผู้ขอใช้สิทธิฯ ไม่ดำเนินการตามข้อ 3.1 และนำเอกสารเพิ่มเติมในข้อ 3.2 มายื่น ณ สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่สาขาภายในระยะเวลาที่ กำหนด ให้ถือว่าผู้ขอใช้ สิทธิ ฯ ไม่ประสงค์จะขอรับเงินคืนตามโครงการรถยนต์ใหม่คันแรกและจะเรียกร้องสิทธิฯ และค่าเสียหายใด ๆ กับทางราชการไม่ได้
อนึ่ง เพื่อให้นโยบายรัฐบาลในเรื่องรถยนต์ใหม่คันแรกประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย และให้เกิดความคล่องตัว ควรให้กรมสรรพสามิตสามารถกำหนดแนวปฏิบัติเพิ่มเติมเพื่อให้เป็นไปตามมติคณะ รัฐมนตรีต่อไปได้
4. ผู้ขอใช้สิทธิฯ จะได้รับเงินคืนหลังจากครอบครองรถยนต์ใหม่คันแรกไปแล้ว 1 ปี หากเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กรมสรรพสามิตกำหนด ทั้งนี้ ชื่อผู้ซื้อที่ระบุในใบจองรถยนต์ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2555 จะต้องเป็นบุคคลเดียวกันกับผู้ซื้อรถยนต์ที่ยื่นขอใช้สิทธิฯ ดังกล่าวเท่านั้น หากเป็นบุคคลอื่นจะไม่ได้รับสิทธิฯ เพื่อเป็นการป้องกันมิให้มีการซื้อและขายใบจองรถยนต์